Articles Tagged with

Salesforce

History of CRM
บทความ

ประวัติของ CRM และ วิวัฒนาการ

วันนี้เราจะพาดูทุกคนมาดูประวัติของและวิวัฒนาการของระบบที่ถูกเรียกว่า CRM บางคนที่พึ่งเคยได้ยินหรือรู้จักอาจจะเข้าใจว่า CRM นั้นพึ่งจะเกิดมาในช่วงยุคหลังจากที่มีคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตแต่อันที่จริงแล้ว CRM เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 1950s แต่ก่อนหน้านั้นมันแค่ไม่ได้ถูกเรียกว่า CRM

 

เรามาเริ่มกันที่ปี 1950

ประวัติของ CRM เริ่มต้นจากเครื่องที่มีชื่อเรียกว่า Rolodex โดยถูกคิดค้นในปี 1950 วัตถุประสงค์ของมันที่ถูกผลิตขึ้นมาก็เพื่อใช้จัดเก็บข้อมูลการติดต่อทางธุรกิจ เช่น ลูกค้าที่มาติดต่อกับเรา หรือ ดีลทางธุรกิจต่างๆ

ต่อมาในปี 1960

ก็มีการคิดค้นพัฒนาระบบที่เรียกว่าเมนเฟรม
ระบบเมนเฟรมเป็นระบบคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพซึ่งใช้ในการจัดเก็บและประมวลผลข้อมูล โดยเมนเฟรมถูกคิดค้นครั้งแรกขึ้นระหว่างทศวรรษที่ 1930 และ 1940 โดย Howard Eiken นักวิจัยจาก Harvard แต่ระบบเมนเฟรมก็มีให้บริการสำหรับธุรกิจในช่วงทศวรรษที่ 1960 เท่านั้น ถูกใช้งานโดยบริษัทที่เป็น Enterprise เกือบทั้งหมดในยุคนั้น ได้เปลี่ยนจากการใช้ Rolodex มาใช้คอมพิวเตอร์เมนเฟรมเพื่อแปลงข้อมูลลูกค้าให้เป็นดิจิทัล เช่น ชื่อ ที่อยู่ และรายละเอียดการติดต่อ

1980 จุดเริ่มต้นของการตลาดฐานข้อมูลและซอฟต์แวร์การจัดการติดต่อ

ในช่วงเริ่มต้นของทศวรรษ 1980 ธุรกิจและบริษัทต่าง ๆ ค้นพบวิธีที่จะใช้ประโยชน์จากข้อมูลของลูกค้าที่รวบรวมมาจาก database marketing โดยวิธีการเก็บ database ในสมัยนั้นก็คือการนำเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการแก่ลูกค้า โดยปกติจะทำผ่านไปรษณีย์โดยตรงซึ่งโบรชัวร์และแคตตาล็อกผลิตภัณฑ์จะถูกส่งไปยังลูกค้าโดยมีเป้าหมายเพื่อโน้มน้าวใจให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อ

ในช่วงหลังของทศวรรษ ธุรกิจต่างๆ เริ่มฝึกใช้กลยุทธ์เชิงรุกมากขึ้นในการขายโดยการโทรแบบ Direct sale ในช่วงเวลานี้คอมพิวเตอร์มีการให้บริการอย่างแพร่หลายมากขึ้นสำหรับธุรกิจ ซึ่งทำให้การจัดเก็บและจัดการข้อมูลลูกค้าในรูปแบบดิจิทัลเป็นไปได้ง่ายมากกว่าเดิม Rolodex จึงแทบไม่มีคนใช้

และในปี 1999 ก็เกิด CRM ที่เรียกว่า Salesforce ขึ้นมา

และปี 1999 นั้นเองก็ได้เกิด Salesforce และเริ่มมีนิยามของคำว่า Saas หรือ (Software-as-a-Service) โดยจุดเริ่มต้นของ Salesforce นั้นได้รับการออกแบบเพื่อส่งมอบซอฟต์แวร์ผ่านโมเดลใหม่ที่เรียกว่า Software-as-a-Service (SaaS) ในช่วงเวลาที่อินเทอร์เน็ตมีการใช้งานอย่างแพร่หลาย เป้าหมายของบริษัทคือการลดค่าใช้จ่ายล่วงหน้าและค่าบำรุงรักษาที่มีราคาแพงของการเก็บ Database แบบเดิมในที่สุด Salesforce ก็ได้กลายเป็นเจ้าใหญ่และเป็นผู้จำหน่าย CRM รายใหญ่ที่สุดในโลก

ช่วงปี 2000

ในช่วงปี 2000 นั้น Salesforce ถูกพูดถึงและประสบความสำเร็จบนอินเทอร์เน็ตเป็นอย่างมากและครองตลาดในช่วงปี 2000 เพราะถือเป็นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเนื่องจากทำให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงการขายและข้อมูลลูกค้าผ่านอุปกรณ์ใดๆก็ได้ที่เชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตเพราะในสมัยก่อนนั้นข้อมูลจะเข้าถึงได้เฉพาะคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นๆ

และในปี 2009 Salesforce ก็ได้ทำการเซอร์ไพรส์ทั้งโลกด้วยการเปิดตัว Service Cloud โดยใช้โมเดล SaaS ทำให้ Service Cloud ให้บริการลูกค้าและสนับสนุนคุณสมบัติการทำงานอัตโนมัติ (Automation) ในปีเดียวกัน แอปพลิเคชันแรกที่สร้างขึ้นบน Force.com สำหรับ iPhone ของ Apple ได้เปิดตัวและกลายเป็นพันธมิตรระดับองค์กรรายแรกใน App Store ของ Apple

Graphical timeline of the history and evolution of CRM.

https://fitsmallbusiness.com/history-of-crm/

ทิ้งท้าย

วิวัฒนาการของ CRM มาไกลจากจุดเริ่มต้นอย่างมากจากเครื่องมือตั้งโต๊ะที่ต้องใช้ระบบ Manual ที่เรียกว่า Rolodex แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงเหมือนเดิมมาตลอดก็คือการรู้ว่าใครคือลูกค้าเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ในขณะที่ธุรกิจข้อมูลที่หลากหลายสามารถจัดการใน CRM ได้มีการพัฒนาไป ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีจะช่วยให้ธุรกิจสามารถนำเสนอบริการและการสนับสนุนที่ดีที่สุดแก่ลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง

 

Get on the path to faster sales! 
Watch a guided tour or try free trial now!

มาร่วมทดลอง Salesforce CRM #1 กันเถอะ

ทดลองฟรี
CRM
บทความ

CRM ช่วยจัดการข้อมูลและวิเคราห์ข้อมูล

CRM หรือ Customer relationship management สามารถช่วยให้บริษัททำการรวบรวมข้อมูลของลูกค้ารวมถึงการเก็บบันทึก Customer Journey และช่วยจัดการระบบการขาย และมากไปกว่านั้นเทคโนโลยี CRM จะสามารถช่วยเพิ่ม conversions rate ได้จากลูกค้าหรือผู้ที่สนใจ และให้การเข้าถึงข้อมูลลูกค้าแบบ Insight อีกด้วย

วันนี้เราจะพามาดูว่า CRM นั้นช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างไรและข้อมูลที่ได้มานั้นมีประโยชน์อย่างไรต่อธุรกิจและสามารถนำไปต่อยอดได้อย่างไร

เรามาเริ่มกันที่ CRM database คืออะไร ?

CRM database นั้นช่วยให้ธุรกิจจัดการความสัมพันธ์กับผู้ติดต่อและลูกค้าโดยมีตัวกลางเก็บข้อมูลของลูกค้าหรือที่เรียกว่า Centralizing information ซึ่งมันจะทำให้ข้อมูลที่ทุกคนในทีมได้รับเหมือนกันหมดเพราะทุกคนสามารถเข้าถึงแหล่งของข้อมูลที่ CRM เก็บมาได้จากแหล่งเดียวกันไม่ต้องไปคอยถามกันเองให้ยุ่งยากและอาจทำให้เกิดข้อผิดพลาดได้ มากไปกว่านั้นยังช่วยให้สามารถจัดระเบียบข้อมูลของผู้ติดต่อ ติดตามข้อตกลง และสร้างรายงาน(Report) เราสามารถดูแหล่งที่มาของผู้ติดต่อแต่ละคนได้ว่าผู้ติดต่อหรือลูกค้าเข้ามาหาเราผ่านช่องทางไหนบ้าง (Customer Journey)

CRM ยังบันทึกการสื่อสารระหว่างเจ้าหน้าที่ให้บริการกับลูกค้าเราสามารถดูผู้ติดต่อและดู Touchpoints ที่ลูกค้าหรือผู้ติดต่อมีกับบริษัทของเราได้ CRM สามารถเรียกดูบันทึกการโทรกับทีมขาย จำนวนอีเมลที่ลูกค้าหรือผู้ติดต่อเปิดจากที่เราส่งออกไปและประวัติการแชทกับตัวแทน

แพลตฟอร์ม CRM ยังสามารถช่วยให้พนักงานสามารถเข้าถึงข้อมูลลูกค้าจากอุปกรณ์ที่รองรับไม่ใช่แค่บนคอมพิวเตอร์ เช่น มือถือ แทปเลต อีกด้วย ซึ่งช่วยให้พนักงานสามารถค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องและทำงานร่วมกันในโปรเจคได้ง่ายขึ้นเช่น ด้านการขายและการตลาดใหม่ เราไม่จำเป็นต้องเสียเวลาถามเพื่อนร่วมงานเพื่อขอข้อมูลอีกต่อไปทั้งหมดนี้ถูกบันทึกอยู่ใน CRM

 

ประโยชน์ของ CRM database

CRM สามารถช่วยให้จัดระเบียบและเก็บบันทึกข้อมูลสำคัญได้อย่างไม่มีข้อผิดพลาด หากผู้อ่านยังไม่มั่นใจนการนำ CRM ไปใช้งานกับองค์กรและก็ลองมาดูประโยชน์ของ CRM กันดีกว่า

1. CRM ช่วยจัดระเบียบผู้ติดต่อ

เมื่อเพิ่มผู้ติดต่อไปยัง CRM แล้ว เราสามารถที่จะจัดเรียงกรองผู้ติดต่อและคุณสมบัติผู้ติดต่อต่างๆ ได้ เราสามารถจัดเรียงลูกค้าตามชื่อและนามสกุล ที่อยู่อีเมลหรือชื่อบริษัท

หากคุณต้องการติดต่อผู้ติดต่อรายใดรายหนึ่ง คุณสามารถค้นหาผู้ติดต่อเหล่านั้นได้ทันทีและมีประสิทธิภาพ

ฐานข้อมูล CRM คืออะไร – จัดระเบียบและดูผู้ติดต่อ

จัดระเบียบด้วย CRM ฟรีของ HubSpot

สิ่งนี้ช่วยได้อย่างไร: โดยการกรองข้อมูลนี้ พนักงานของคุณจะใช้เวลาน้อยลงในการค้นหาข้อมูลและมีเวลามากขึ้นในการปิดดีล

2. เพิ่มโอกาสการรักษาลูกค้าเก่า

การสื่อสารกับลูกค้าเก่าเราจะต้องด้วยวิธีที่เหมาะสมและต้องสอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า ไม่เช่นนั้นลูกค้าอาจเกิดความรำคาญและเลือกที่จะไปซื้อสินค้าหรือบริการจากแบรนด์อื่นแทนที่จะเลือกเราเหมือนเดิม ซึ่ง CRM Database จะช่วยทำให้เรามองเห็นลูกค้าแบบ Personalization ทำให้การสื่อสารกับลูกค้านั้นไม่ก่อให้เกิดความรำคาญและอาจส่งผลให้เกิดการซื้อซ้ำมากขึ้นอีกด้วย 

3. CRM สามารถช่วยทำรายงานได้อย่างรวดเร็ว

ในระบบ CRM ที่มีประสิทธิภาพส่วนใหญ่แล้ว จะสามารถสร้างรายงานเพื่อติดตามผู้ติดต่อและข้อตกลงการซื้อขายได้เราสามารถใช้ข้อมูลเพื่อสร้างการคาดการณ์รายได้ สิ่งนี้ทำให้การประเมินประสิทธิภาพเทียบกับเป้าหมายของคุณเป็นเรื่องง่าย

สรุป

CRM database ที่เหมาะสมสามารถสร้างความสะดวกสบายให้กับองค์กรได้เป็นอย่างดีทุกคนในบริษัทของเราจะสามารถเข้าถึงข้อมูลเดียวกันได้ การส่งมอบข้อตกลง การรวบรวมข้อมูลเชิงลึก และการติดตามลูกค้ากลุ่มเป้าหมายเป็นเรื่องง่าย ข้อมูลที่ถูกเก็บมารวบรวมไว้ในที่ที่เดียวจะสามารถทำให้เราค้นหาจุดบอดและค้นพบจุดเด่นที่สำคัญที่สุดได้เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า เช่น แคมเปญการขายทั้งหมดจะได้รับการสนับสนุนด้วยข้อมูลที่ถูกต้องเป็นกลางจึงทำให้แคมเปญที่ส่งออกไปนั้นมีประสิทธิภาพมากกว่าองค์กรที่ไม่มีระบบ CRM

 

Get on the path to faster sales! 
Watch a guided tour or try free trial now!

มาร่วมทดลอง Salesforce CRM #1 กันเถอะ

ทดลองฟรี
Salesforce Integration
บทความ

Salesforce integration คืออะไร

Salesforce integration

วันนี้เราจะมาพูดถึง Salesforce Integration ซึ่งตัวซอฟแวร์ Salesforce ได้ช่วยเหลือองค์กรในการจัดการฐานข้อมูลลูกค้ามานานกว่าสองทศวรรษ ให้ผู้ใช้มีฟังชั่นที่เหมาะสมระหว่าง automation และ personalization เพื่อปรับแต่งการบริการตามความต้องการเฉพาะของลูกค้ากลุ่มนั้นๆๆ

อย่างไรก็ตาม หากต้องการที่จะขยายฟังก์ชันการทำงานของ CRM ให้มีขนาดใหญ่ขึ้นและสามารถรวมเข้ากับแพลตฟอร์มอื่นๆที่ใช้อยู่ คุณสามารถทำได้ด้วย Salesforce integration

Salesforce integration คืออะไร?

Salesforce integration เป็นกระบวนการของการรวมข้อมูลและฟังก์ชันการทำงานของ Salesforce กับแอปพลิเคชันอื่นๆเพื่อมอบประสบการณ์ที่รวมเป็นหนึ่งเดียวแก่ผู้ใช้ ช่วยให้คุณมอบฟังชั่นที่ผสมผสานกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของทั้งสองแพลตฟอร์มให้กับทีมของคุณได้ ผู้ใช้ Salesforce มักจะประสบปัญหาในการปรับข้อมูลให้ตรงกันระหว่างสองแพลตฟอร์มและการสลับไปมาระหว่างกันในขณะที่ทำงาน การรวมระบบของ Salesforce สามารถช่วยลดปัญหาในการทำงานและความรวดเร็วในการจัดการข้อมูลเรามาดูตัวอย่างการใช้งาน Salesforce กับระบบอื่นกัน เช่น การรวม Salesforce เข้ากับระบบ PayPal จะช่วยให้ Salesforce กลายเป็นเป็นเกตเวย์การชำระเงินได้ และ การรวม Salesforce กับ Twilio จะเพิ่มความคล่องตัวให้กับกระบวนการสื่อสารกับลูกค้า

Salesforce Integration Processes

โดยหลักๆแล้วการทำ Integration จะมีสองวิธีที่ส่วนใหญ่ใช้กันคือ App-based และ code-based Salesforce Integration ถ้าเป็นแบบ App-based จะดำเนินการโดยใช้แอปพลิเคชันเฉพาะ แอปเหล่านี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถรวมข้อมูลระหว่างสองแอปและพัฒนาแพลตฟอร์มที่เป็นหนึ่งเดียวด้วยการคลิกง่ายๆ เพียงไม่กี่คลิ๊ก ในการรวม Salesforce CRM ให้เข้ากับแอปพลิเคชันที่เหมาะสม เราจะต้องมีแพลตฟอร์มที่พร้อมกับการ Integration ด้วยเพื่อความราบรื่นและความสะดวกในการถ่ายโอนข้อมูลระหว่างสองแอปพลิเคชัน เช่นแอพอย่าง Zapier และ Jitterbit และอื่น ๆ

เรามาดูแบบ code-based กันบ้าง นอกจากการใช้แอปพลิเคชันแล้ว การ Integration Salesforce ยังสามารถดำเนินการได้จากภาษาการเขียนโปรแกรม เช่นการใช้ Apex เป็นตัวอย่างทั่วไปของการ Integration Salesforce ที่ใช้โค้ดเป็นหลักเป็นภาษาโปรแกรมที่เป็นกรรมสิทธิ์ซึ่งมีไวยากรณ์ที่คล้ายกับ Java

ประโยชน์หลักบางประการของการดำเนินการผสานรวม Salesforce โดยใช้รหัสโดยใช้ Apex

– การสนับสนุนในตัวสำหรับ Salesforce Lightning Platform
– ภาษาที่ใช้ง่ายและเข้าใจง่าย
– เหมาะสำหรับ API เวอร์ชันต่างๆ
– ภาษาการเขียนโปรแกรมสามารถโฮสต์บนแพลตฟอร์ม Lightning และควบคุมโดยภาษาเดียวกันทั้งหมด

 

ข้อควรพิจารณาที่สำคัญก่อนการทำ Integration

– ตรวจสอบขีดจำกัดของ API สำหรับทั้งสองแอปพลิเคชัน
– การระบุประเภทของ integration (the integration type) ว่าต้องการแบบ Real-Time หรือไม่
– ตรวจสอบการตรวจสอบความถูกต้องของระบบ
– การสร้าง API แบบกำหนดเองเพื่อเรียก API ของบุคคลที่สาม(Third-partyเพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติมที่จำเป็น
– ทำความเข้าใจตัวเลือกการกำหนดค่าที่มีอยู่
– รับทราบข้อมูลที่จะไม่ถูกถ่ายโอนระหว่างสองแพลตฟอร์ม

 

สรุป

การทำ Salesforce integration ช่วยให้นักพัฒนาสามารถปรับปรุงฟังก์ชันการทำงานของ Salesforce และช่วยให้ผู้ใช้ประหยัดเวลาและช่วยลดความยุ่งยากในการใช้เครื่องมือที่เกี่ยวข้องกับแพลตฟอร์มอื่นๆทำให้ไม่ต้องสลับไปมาหรือทำงานเดิมซ้ำๆระหว่างแพลฟอร์ม เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณวางแผนที่จะดำเนินการ integration Salesforce ขอแนะนำให้ใช้ความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญด้านการ integration เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ซึ่งทางบริษัท M Intelligence ก็คือหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญ

 

Get on the path to faster sales! 
Watch a guided tour or try free trial now!

มาร่วมทดลอง Salesforce CRM #1 กันเถอะ

ทดลองฟรี
บทความ

6 ขั้นตอนที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจด้วย Salesforce

มีคำที่กล่าวไว้ของ Salesforce ว่า “No customer experience happens on its own. Learn how Salesforce can enhance the customer experiences you provide to clients!”
ไม่มีประสบการณ์ของลูกค้าเกิดขึ้นเอง เรามาเรียนรู้การใช้ Salesforce กันดีกว่าว่าสามารถปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้าให้ดีขึ้นกว่าเดิมได้อย่างไร

Salesforce ปรับปรุงประสิทธิภาพของธุรกิจอย่างไร

Salesforce CRM เป็นเครื่องมือ Martech ที่ได้รับการออกแบบโดยคำนึงถึงลูกค้าเป็นอันดับแรก ซึ่งช่วยให้องค์กรยกระดับการจัดการภายในองค์กรและช่วยเหลือลูกค้าจัดการกับข้อปัญหาต่างๆที่ลูกค้าได้เจอค้นหาโซลูชันเพื่อที่จะทำให้ลูกค้าเกิดความพึงพอใจสูงสุด Salesforce ช่วยให้คุณให้ความสำคัญกับความสำเร็จของลูกค้าเป็นอันดับแรก และในกระบวนการนี้ ให้มุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงประสิทธิภาพของธุรกิจของคุณเอง

และนี่คือ 6 วิธีที่จะเพิ่มให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้นจากการใช้ Salesforce

1.Improved customer visibility เพื่อให้ลูกค้าทุกคนของเราได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด เมื่อลูกค้ามีการติดต่อเข้ามาเราต้องสามารถเข้าถึงบัญชี สัญญา งาน กิจกรรม หรือข้อมูลส่วนตัวของลูกค้าที่เกี่ยวข้องให้เร็วท่ีสุดเพื่อความพึงพอใจและสร้างความประทับใจให้ลูกค้า ซึ่ง Salesforce สามารถทำได้ Salesforce เป็นแพลตฟอร์มที่สะดวกสำหรับการจัดการข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับลูกค้าทั้งหมดทำให้พนักงานในองค์กรของเรานั้นสามารถบริการลูกค้าได้ราวกับว่าเขาเป็นลูกค้าคนเดียวของบริษัท นอกจากนี้จากการทำความเข้าใจลูกค้าของคุณให้ดีขึ้นคุณจะอยู่ในตำแหน่งที่สามารถforecast ได้ว่าในขั้นตอนต่อไปนั้นลูกค้าจะทำอะไรต่อซึ่งนี่เป็นสิ่งสำคัญมากในการที่จะสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าและปิดการขาย ซึ่งทาง Salesforce เคลมไว้ว่าทางเขาสามารถ Forecast ได้แม่นถึง 42%

2.Superior time management Salesforce บอกไว้ว่าเมื่อคุณต้องรับผิดชอบหน้าที่ต่างๆมากมายเวลาเหล่านั้นจะเริ่มรู้สึกสั้นลงเรื่อยๆ โดยตัว Salesforce สามารถรวบรวมข้อมูลของพนักงานขายในองค์กรได้ว่าตอนนี้พนักงานคนไหนทำอยู่ขั้นตอนไหนแล้วมีนัดกับใครบ้าง โดยเราสามารถดูและเข้าถึงได้เช่น ปฏิทิน กำหนดการ กิจกรรม และอื่นๆ ด้วยเหตุนี้เลยทำให้การจัดการเวลาทำได้ดียิ่งขึ้นซึ่งจะช่วยให้งานสามารถเสร็จตามเดดไลน์ได้

3.More efficient sales pipeline การค้นหาลีดที่ถูกต้องที่จะเข้าอาจทำให้กระทบกับงานอื่นๆ และนี่ยังพูดถึงการนำลีดเหล่านั้นมาผ่านขั้นตอนการขายซึ่งใน Process ขั้นตอนนี้จะกินเวลาเป็นอย่างมาก ซึ่งทาง Salesforce สามารถช่วยให้ติดตามผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าแต่ละรายได้อย่างง่ายดาย รวมถึงปัญหา ความต้องการของลูกค้า และข้อมูลอื่นๆ ที่อาจเป็นประโยชน์ต่อการช่วยผู้ที่มีโอกาสเป็นลูกค้ามาเป็นลูกค้าจริง ด้วยเหตุนี้ คุณจะสามารถทราบได้อย่างชัดเจนว่าลีดอยู่ตรงไหนในไปป์ไลน์การขายของคุณ ตลอดจนรู้ว่าขั้นตอนต่อไปของพวกเขาควรเป็นอย่างไร โดยทาง Salesforce เคลมไว้ว่าผลลัพธ์ที่ได้คือ Salesforce company sales by up to 29%.

4.Enhanced collaboration การมีแพลตฟอร์มการทำงานร่วมกันข้ามแผนกบนระบบคลาวด์หมายความว่าบุคคลที่ได้รับอนุญาตทุกคนสามารถทำงานร่วมกันได้เพื่อความสะดวกสบายไม่ต้องโอนย้ายถ่ายข้อมูลของไฟล์ให้ใครคนใดคนหนึ่งโดยสามารถทำงานไปพร้อมกันได้เลย ทีมต่างๆในบริษัทสามารถเข้าถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้อง สื่อสาร และทำงานร่วมกันเพื่อมอบประสบการณ์การบริการลูกค้าที่ราบรื่นซึ่งจะไม่ถูกรบกวนและสื่อสารระหว่างแผนกผิดพลาด

5.Better support เครื่องมือจะดีก็ต่อเมื่อใช้งานได้เท่านั้น Salesforce ให้การซัพพอร์ตที่เหนือกว่าดังนั้นในกรณีที่เกิดปัญหาขึ้น ขั้นตอนต่างๆ จะถูกดำเนินการทันทีเพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างจะกลับคืนสู่การทำงานแบบปกติได้อย่างรวดเร็วที่สุด ซึ่งข้อดีที่สุดก็คือการที่แพลตฟอร์มทั้งหมดอยู่บนระบบคลาวด์ การเซอร์วิสสามารถทำได้โดยไม่ต้องนำช่างเทคนิคมาที่สำนักงาน และไม่ต้องเสียค่าบำรุงรักษาแพง

6.Increased efficiency and productivity  เนื่องจาก Salesforce นั้นมีระบบ Automation ซึ่งช่วยให้ประหยัดเวลาในการทำงานได้เป็นอย่างมาก ตัวอย่างเช่นถ้าคุณต้องการส่งข้อความหาลูกค้าไปในหลายช่องทางเราก็ต้องมานั่งทำแต่ละช่องทางด้วยตัวเองทั้งหมดซึ่งมันเสียเวลาเอามากๆ Salesforce นั้นสามารถที่จะแก้ปัญหาตรงนี้ได้ด้วยระบบ Marketing Automation โดยเราสามารถส่งข้อความหรือแคปเปญด้านการตลาดที่เราต้องการไปยังช่องทางต่างๆไปหาลูกค้าเป็นหมื่นๆคนโดยภายในเวลาไม่กี่วินาที ทาง Salesforce ยังบอกไว้อีกว่า การนำ Salesforce มาใช้ช่วยเพิ่มproductivity ได้มากถึง 34%

สรุป

ผสรุปได้ว่า Salesforce ได้กลายเป็นผู้เปลี่ยนเกมในโลกของธุรกิจในการจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้า(CRM) เพิ่มความคล่องตัวในการดำเนินงาน และระบบ Automation อีกทั้งยังมีการทำงานบนคลาวด์ซึ่งสะดวกสบายทำให้ทุกฝ่ายเข้าถึงและทำงานร่วมกันได้อย่างง่าย Salesforce จึงกลายเป็นโซลูชันที่นำไปสู่ธุรกิจทุกขนาดและทุกอุตสาหกรรม ตั้งแต่สตาร์ทอัพไปจนถึงองค์กรข้ามชาติ ไม่ว่าคุณจะต้องการเพิ่มยอดขาย ปรับปรุงความพึงพอใจของลูกค้า หรือปรับปรุงความพยายามทางการตลาดของคุณ Salesforce มีความสามารถที่จะช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมาย ดังนั้น หากคุณยังไม่ได้ดำเนินการ ก็ถึงเวลาเข้าร่วมกับธุรกิจหลายล้านแห่งทั่วโลกที่เปลี่ยนมาใช้ Salesforce และสัมผัสกับประโยชน์ของแพลตฟอร์มอันทรงพลังนี้ด้วยตัวคุณเอง

ธุรกิจที่ใช้ Salesforce รับรู้ถึงประสิทธิภาพโดย 64% ของลูกค้า Salesforce ในปัจจุบันวางแผนที่จะเพิ่มงบประมาณ Salesforce

ในเส้นทางของธุรกิจ Salesforce กล่าวไว้ว่ามีสองอย่างที่คุณทำนั่นคือคุณกำลังผลักดันตัวเองไปข้างหน้าหรือไม่ก็ถูกดึงให้จมดิ่งลงไป และด้วยความช่วยเหลือจาก Salesforce องค์กรของคุณจะสามารถเอาชนะคู่แข่งและการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของสังคมในปัจจุบันได้

 

Get on the path to faster sales! 
Watch a guided tour or try free trial now!

มาร่วมทดลอง Salesforce CRM #1 กันเถอะ

ทดลองฟรี
Omnichannel
บทความ

Omni channel คืออะไร? และมีประโยชน์อย่างไรต่อธุรกิจ

Omnichannel คืออะไร?

Omnichannel คือการจัดการธุรกิจหรือการติดต่อลูกค้าโดยการรวบรวมช่องทางหลายช่องทางไม่ว่าจะเป็นออนไลน์หรือออฟไลน์และช่องทางต่างๆเหล่านั้นจะต้องเชื่อมต่อกันและมีข้อมูลอัพเดทของลูกค้าเสมอ เช่น เว็บไซต์, โทรศัพท์, อีเมล, แชทบอท แอปพลิเคชัน หรือหน้าร้าน โดยที่ลูกค้าสามารถสื่อสารหรือเข้าถึงข้อมูลได้จากช่องทางที่ต้องการโดยไม่ต้องเริ่มต้นใหม่ในช่องทางอื่น นอกจากนี้ความรวดเร็วและความสะดวกในการใช้งานก็เป็นจุดเด่นของการใช้ระบบ Omnichannel ในธุรกิจ

Omnichannel กับหน้าร้านในปัจจุบัน

การช้อปปิ้งออนไลน์และอีคอมเมิร์ซอาจมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องแต่การมีหน้าร้านก็ยังคงมีบทบาทสำคัญในชีวิตของผู้บริโภค ผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังคงชอบการเลือกซื้อของที่หน้าร้านค้าจริงมากกว่าการช้อปปิ้งออนไลน์ แม้ว่าบทบาทของร้านค้าจะเปลี่ยนแปลงไปก็ตาม ผู้ค้าปลีกและลูกค้าต่างเริ่มตระหนักถึงบริบทของร้านค้าที่เปลี่ยนไปการมีหน้าร้านทุกวันนี้เหมือนเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือและให้ลูกค้าได้มาได้ทดลองและสัมผัสกับสินค้าจริงเพราะส่วนใหญ่แล้วลูกค้าจะไปซื้อผ่านช่องทางออนไลน์หลังจากได้ลองที่หน้าร้านเนื่องจากทางช่องทางออนไลน์มีโปรโมชั่นที่มากกว่า

ร้านค้าจำนวนมากในปัจจุบันมีการส่งเสริมแนะนำกิจกรรมภายในร้านเพื่อสร้าง community เช่น การเชิญ Influencer ให้มารีวิวสินค้า หรือ KOL ให้มาสาธิตและวิธีการใช้ผลิตภัณฑ์และมีการสะสมแต้มคะแนนหน้าร้านโดยแต้มที่สะสมนั้นเราสามารถเรียกดูและใช้งานได้ทั้งแบบออฟไลน์และออนไลน์นี่คือตัวอย่างการทำ Omnichannel

โดยหลักแล้ว Omnichannel จะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจโดยการรวมช่องทางหน้าร้านและช่องทางออนไลน์เข้าด้วยกันเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับ Customer Journey เพื่อทำให้เกิดความพึงพอใจของลูกค้าให้ได้มากที่สุด

Omnichannel มีประโยชน์ต่อธุรกิจอย่างไร

Omnichannel กำลังกลายเป็นมาตรฐานใหม่อย่างรวดเร็วในปัจจุบัน จากรายงานของ Coresight ระบุว่า 74% ของผู้ค้าปลีกได้เริ่มใช้กลยุทธ์ Omnichannel หรือได้ดำเนินการไปแล้ว ธุรกิจที่ยังไม่ได้เริ่มคิดเกี่ยวกับกลยุทธ์ Omnichannel จะมีกำลังขับเคลื่อนไปในทางที่เชื่องช้าทำให้ไม่มี Competitive advantage

ในรายงาน Salesforce ปี 2019 ระบุไว้ว่า67% ของลูกค้าใช้หลายช่องทางในการที่จะซื้อสินค้าหนึ่งชิ้นหมายความว่าลูกค้าต้องสลับไปมาหลายแอพข้อมูลไม่ต่อเนื่องยกตัวอย่างมีการคุยกับพนักงานบน Facebook แต่ลูกค้าต้องการสั่งสินบ้าบน Ecommerce แต่ต้องกรอกทุกอย่างใหม่ทั้งหมดซึ่งหมายความว่าธุรกิจที่ไม่ได้นำเสนอการมีส่วนร่วมแบบหลายช่องทางและกำลังมอบประสบการณ์ที่ต่ำกว่ามาตรฐานให้กับลูกค้าเหล่านี้ สำหรับผู้บริโภคจำกว่า 40% บอกไว้ว่า Omnichannel พวกเขาจะไม่ซื้อสินค้าหรือใช้บริการหากไม่สามารถใช้ช่องทางที่ต้องการได้แบบต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม รายงาน Coresight ยังแสดงให้เห็นว่ามีเพียง 34% ของบริษัทเท่านั้นที่มาถึงขั้นตอน ‘การดำเนินการ’ หรือ ‘การทำให้เป็นจริง’ ของการเติบโตแบบหลายช่องทางดังนั้นองค์กรเหล่านั้นจึงผูกขาดความพึงพอใจและประสบการณ์ที่ดีในการซื้อของลูกค้า ตัวเลขนี้จำเป็นต้องเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อประโยชน์ของทั้งธุรกิจและลูกค้า

เหตุผล 5 ประการที่ธุรกิจต่างๆ เลือกใช้กลยุทธ์ Omnichannel

1. ช่วยทำให้ Customer lifetime value ดีขึ้น
มูลค่าตลอดชีวิตของลูกค้านั้นหมายถึง การที่ลูกค้านั้นสร้างมูลค่าให้กับธุรกิจของคุณในช่วงชีวิตหนึ่ง โดยหากให้อธิบายง่ายๆก็คือการที่ลูกค้าซื้อสินค้าหรือสนับสนุนกิจกรรมต่างๆของธุรกิจมาโดยตลอด ลูกค้าอาจสนับสนุนสินค้าของคุณมาตั้งแต่สมัยที่เป็นนักเรียนนักศึกษาจนสู่วัยทำงาน Omnichannel ให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นอันดับแรกและไม่น่าแปลกใจที่ผู้นำร้านค้าปลีกมองว่าเป้าหมายระยะยาวมีความสำคัญอย่างยิ่ง รายงาน Coresight แสดงให้เห็นว่า 53% ของผู้ค้าปลีกชั้นนำในยุโรประบุว่าการเพิ่มคุณค่าตลอดอายุการใช้งานของลูกค้าเป็นเหตุผลสำหรับการใช้Omnichannel ขณะที่ผู้ค้าปลีกรายอื่นเพียง 34% รู้สึกเช่นเดียวกัน

2.เข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่
กลยุทธ์ Omnichannel เป็นประโยชน์ต่อธุรกิจโดยทำให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ได้ง่ายเนื่องจากร้านค้าหรือธุรกิจของเราจะเข้ามาอยู่เกือบทุกช่องทางบนโลกออนไลน์  และการเข้าถึงลูกค้าใหม่ก็ถือว่าเป็นกุญแจสำคัญในการเติบโต

3.เพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน
Omnichannel  ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและต้นทุนที่ลดลง ด้วยกลยุทธ์ Omnichannel ธุรกิจแค่ต้องรวบรวมข้อมูลของลูกค้าเพียงครั้งเดียว แทนที่จะเก็บข้อมูลทุกของลูกค้าทุกครั้งในทุกๆช่องทาง ดังนั้น Omnichannel จึงทำให้ประสิทธิภาพในบริษัทเพิ่มขึ้นได้และถ้ายิ่งใช้กับ CRM ก็จะยิ่งทำให้บริษัทสามารถลดต้นทุนไปได้เป็นอย่างมาก

4.เพิ่มยอดขาย
ยอดขายที่เพิ่มขึ้นเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับผู้ค้าปลีกที่ต้องการเพิ่มรายได้ การศึกษาของ Harvard Business Review แสดงให้เห็นว่าลูกค้า Omnichannel ใช้จ่ายออนไลน์มากกว่าผู้บริโภคช่องทางเดียวถึง 10% (single-channel consumers) เป็นที่ชัดเจนว่าผู้ค้าปลีกชั้นนำของโลกให้ความสำคัญกับการเติบโตในระยะยาวและกำลังมองประโยชน์ของกลยุทธ์Omnichannel ว่าเป็นกลยุทธ์เชิงโครงสร้าง

สรุป

การมีแนวทางแบบ Omnichannel สามารถให้ประโยชน์มากมายแก่บริษัท เช่น เพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า ปรับปรุงความภักดีต่อแบรนด์(Loyalty) และเพิ่มยอดขาย ด้วยการสร้างประสบการณ์ของลูกค้าให้ราบรื่นและสอดคล้องกันในหลายช่องทางการจำหน่ายหรือการให้บริการ เราจึงต้องตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ ไม่ว่าลูกค้าจะเลือกสื่อสารหรือซื้อของกับร้านของคุณอย่างไร ด้วยการเพิ่มขึ้นของเทคโนโลยีดิจิทัลและความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับประสบการณ์ส่วนบุคคล(Personalized) การใช้ Omnichannel จะช่วยให้ธุรกิจของคุณได้เปรียบในการแข่งขันและช่วยเตรียมพร้อมสำหรับความสำเร็จในระยะยาว

 

Get on the path to faster sales! 
Watch a guided tour or try free trial now!

มาร่วมทดลอง Salesforce CRM #1 กันเถอะ

ทดลองฟรี
Salesforce กับธุรกิจขนาดเล็ก
บทความ

ธุรกิจขนาดเล็กก็สามารถใช้ Salesforce ได้

ธุรกิจขนาดเล็กโดยส่วนมากมักพบเจอประสบปัญหาและข้อจำกัดต่างๆและเพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดปัจจุบันได้ การเลือก CRM ที่ถูกต้องโดยคำนึงถึงประโยชน์ของการใช้เพื่อตอบสนองความต้องการของธุรกิจขนาดเล็กนั้นเป็นงานที่ยากเพราะธุรกิจขนาดเล็กจำนวนมากเชื่อว่าเขาไม่จำเป็นต้องมีหรือไม่สามารถซื้อระบบ CRM เนื่องจากราคาที่สูง แต่จริงๆไม่เป็นแบบนั้น Salesforce ยังมีบริการที่เรียกว่า Salesforce essential โดยเริ่มต้นในราคาเพียง $25 ต่อเดือนเท่านั้น 

https://www.salesforce.com/th/solutions/small-business-solutions/essentials/

มากไปกว่านั้น Salesforce ยังมีแหล่งข้อมูลการเรียนรู้มากมายสำหรับธุรกิจให้ได้เรียนกันแบบฟรีๆ บริการของ Salesforce และโซลูชัน CRM ใช้ระบบคลาวด์ในการให้บริการและเก็บข้อมูล ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเซิร์ฟเวอร์ราคาแพงเพื่อใช้งาน CRM ยังสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการที่สำคัญของธุรกิจที่เชื่อมโยงกับประสบการณ์ของผู้ใช้ ไม่ว่าจะเป็นการบริการ การขาย หรือการตลาด 

ในบล็อกนี้ เราจะพูดถึงเหตุผลที่ธุรกิจขนาดเล็กควรนำ Salesforce ไปพิจารณาร่วมด้วยและวิธีที่ Salesforce จะสามารถช่วยให้ธุรกิจของคุณดีขึ้นได้อย่างไร

เหตุใดธุรกิจขนาดเล็กจึงควรใช้ Salesforce

Salesforce โดยส่วนใหญ่ที่เราเห็นกันจะถูกใช้โดยองค์กรขนาดใหญ่ระดับโลก แต่ตอนนี้ทาง Salesforce ก็มีโซลูชันระบบอัตโนมัติที่ยอดเยี่ยมสำหรับธุรกิจขนาดเล็กเช่นกันโดยถูกเรียกว่า Salesforce essential ระบบ Salesforce CRM ได้ดึงดูดธุรกิจขนาดเล็กหลาย แห่งทั่วโลกเนื่องจากความสามารถ Business intelligence capabilities ซึ่งมันจะช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กสามารถเก็บข้อมูลได้จากทุกช่องทางไม่ว่าลูกค้าจะเข้ามาจากช่องทางไหนและสามารถช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กเริ่มต้นได้อย่างรวดเร็ว ทีมขายสามารถใช้ Salesforce ได้อย่างหลากหลายฟังชั่นเพื่อสร้างมุมมองไว้ใช้ในการติดต่อลูกค้าเพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการทำงาน โดยพนักงานสามารถจัดการและจัดระเบียบผู้ติดต่อในที่เดียวที่ที่เดียวโดยการเปลี่ยนแค่ใน Salesforce ก็สามารถทำให้ข้อมูลจากในหลายช่องทางอัพเดทได้แบบอัตโนมัติ

5 ข้อดีของการใช้ Salesforce

1. ช่วยเพิ่ม Productivity และ Business operation ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เช่น ใน Salesforce มีระบบที่เรียกว่า Automation โดยตัว Automation จะสามารถส่งข้อความ หรือ แคมเปญด้านการด้านได้แบบอัตโนมัติไปหาลูกค้าจำนวนมากๆภายในระยะเวลาไม่กี่วินาที จึงทำให้นักการตลาดในบริษัทหรือในแผนกอื่นๆประหยัดเวลาไปได้มากถ้าเกิดต้องส่งข้อความหาลูกค้าเป็นจำนวนมากซึ่งแน่นอนว่ามันจะทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นและเกิดการผิดพลาดน้อยลง

 

2. ช่วยสร้างความพึงพอใจของลูกค้าให้มากขึ้น Salesforce ช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กได้รับความเข้าใจอย่างครอบคลุมเกี่ยวกับลูกค้าปัจจุบันและผู้ที่มีโอกาสเป็นลูกค้าด้วยเครื่องมือแดชบอร์ดและ Salesforce Analytics โดย Salesforce จะช่วยในการระบุแนวโน้มและรูปแบบเพื่อหาคำตอบล่วงหน้าว่าลูกค้าชอบหรือต้องการแบบไหนโดยคาดการณ์คำถามก่อนที่จะกลายเป็นปัญหาจุดนี้เลยทำให้เกิดความพึงพอใจของลูกค้ามากยิ่งขึ้น

 

3. Salesforce สามารถปรับขนาดและปรับแต่งฟีเจอร์ต่างๆได้ เราควรเลือกระบบ CRM ให้เหมาะสมกับขนาดธุรกิจของเราที่สามารถปรับแต่งฟีเจอร์ต่างๆให้เพียงพอที่จะตอบสนองความต้องการของธุรกิจโดยไม่จำเป็นต้องเสียเงินกับฟีเจอร์ที่เราไม่ได้ใช้ในปัจจุบันและอนาคต Salesforce สำหรับธุรกิจขนาดเล็กสามารถปรับแต่งได้อย่างสมบูรณ์เพื่อตอบสนองความต้องการของธุรกิจ มากไปกว่านั้นอินเทอร์เฟซผู้ใช้ของ Salesforce นั้นใช้งานง่ายมาก ซึ่งทำให้สามารถพัฒนาและปรับแต่งระบบได้ง่าย ลูกค้าหลายรายกล่าวว่าจุดแข็งที่สุดของ Salesforce คือความสามารถในการ Customization และความสามารถในการ integration กับแอปพลิเคชัน Third party

 

4. ช่วยปรับปรุงกิจกรรมทางการตลาดให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น Salesforce มีบริการ Marketing Cloud ซึ่งเป็นโซลูชันระบบอัตโนมัติ(Automation) ด้านการตลาดซึ่งช่วยให้ธุรกิจสามารถสื่อสารข้อความที่ถูกต้องไปยังกลุ่มเป้าหมายและลูกค้าที่เหมาะสมในเวลาที่เหมาะสม Salesforce Marketing Cloud สามารถช่วยให้ธุรกิจต่างๆทำกระบวนการโซเชียลมีเดียให้เป็นอัตโนมัติและแนะนำเราได้ว่าเมื่อใดควรเผยแพร่โพสต์ ซึ่งช่วยให้ดำเนินการแคมเปญการตลาดได้ดีขึ้นและได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น

 

5. ROI ที่ดีขึ้นจากการใช้ Salesforce จากทั้ง 4 ข้อข้างบนจะเห็นได้ว่า Salesforce CRM เป็นโซลูชันที่ดีที่สุดหากคุณต้องการปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานภายในองค์กร สร้างรายได้ เพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุนหรือต้องการขยายฐานลูกค้าและเพิ่มการขายแบบ Upselling ซึ่งจากที่ได้กล่าวมาทั้งหมดจะทำให้ ROI นั้นสูงขึ้นอย่างแน่นอนเม็ดเงินที่ลงทุนไปนั้นจะได้รับการตอบกลับแบบคุ้มค่าอย่างแน่นอน

สรุป

Salesforce ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นประโยชน์สำหรับธุรกิจทุกขนาดส่วนธุรกิจขนาดเล็กและสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพสูง Salesforce สามารถสร้างโอกาสที่ดีในการรับประโยชน์จากแพลตฟอร์ม CRM อันดับ 1 ของโลก การไม่ใช้แพลตฟอร์มนี้หมายความว่าคุณพลาดโอกาสในการเติบโตอย่างมาก ดังนั้น การเลือก Salesforce สำหรับธุรกิจขนาดเล็กจะเป็นประโยชน์ในทุกๆด้าน

 

Get on the path to faster sales! 
Watch a guided tour or try free trial now!

มาร่วมทดลอง salesforce CRM #1 กันเถอะ

ทดลองฟรี
CRM ช่วยเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า
บทความ

CRM สามารถเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้าให้ดียิ่งขึ้นได้อย่างไร?

CRM โดยส่วนมากแล้วจะถูกใช้โดยนักการตลาดและเซลล์เพื่อจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้าและการสื่อสารของแบรนด์กับลูกค้าปัจจุบันและลูกค้าเป้าหมาย CRM ในปัจจุบันมีการพัฒนาจนถึงจุดที่สามารถจัดการความสัมพันธ์ที่แบรนด์มีกับลูกค้าได้ดีขึ้นตลอด Customer journey ของลูกค้า โดยในบทความนี้จะกล่าวถึง 3 วิธีที่สามารถใช้ CRM เพื่อเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า

“ตามคำจำกัดความแล้วประสบการณ์ของลูกค้าเกี่ยวข้องกับทุกปฏิสัมพันธ์ที่ลูกค้ามีกับบริษัทตั้งแต่เห็น เลือกซื้อ พูดคุยสอบถาม จนถึงการปิดการขาย  โดย CRM จะเป็นเสมือนแกนหลักทางเทคนิคที่จะช่วยจัดการ Customer journey ให้ดียิ่งขึ้น ” Tony Kavanagh, CMO ของ Insightly”

CRM ประเภทต่างๆ

CRM ถูกแบ่งออกหลักๆเป็น 3 ประเภท: 1.Operational 2.analytical 3.collaborative ถึงแม้ว่า CRM ทั้งหมดจะแชร์ฟังก์ชันการทำงานหลักบางอย่าง แต่บทบาทหลักของแต่ละตัวก็แตกต่างกัน

Operational CRM: โดยบทบาทหลักของ Operational CRMถูกใช้เพื่อเพิ่มความคล่องตัวและทำให้กระบวนการขายการตลาดและการบริการเป็นไปโดยอัตโนมัติ(เน้นการทำ Automation) ใช้สร้างลูกค้ากลุ่มเป้าหมายและแปลงจากลูกค้ากลุ่มเป้าหมายให้เป็นลูกค้าจริงให้ได้ ในขณะเดียวกันก็สามารถเก็บรายละเอียดและข้อมูลทั้งหมดได้ด้วยว่าลูกค้ามีการเข้ามาจากช่องทางไหน

Analytical CRM: บทบาทหลักของ Analytical CRM ก็คือการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าที่รวบรวมมาจาก Touchpoints ต่างๆ ในการเดินทางของลูกค้า(Customer Journey) CRM เชิงวิเคราะห์ช่วยให้บริษัทสามารถตัดสินใจอย่างรอบคอบมากขึ้น ช่วยให้แผนกการตลาดสามารถประเมินประสิทธิภาพของแคมเปญและทีมขายเพื่อเพิ่มยอดขายมากไปกว่านั้นแผนกบริการลูกค้าเพื่อปรับปรุงคุณภาพและประสิทธิภาพในการซัพพอร์ตลูกค้า

Collaborative CRM: ช่วยให้แบรนด์สามารถแบ่งปันข้อมูลลูกค้าระหว่างแผนกต่างๆ เช่น ฝ่ายขาย ฝ่ายทรัพยากรบุคคล ฝ่ายการตลาด ฝ่ายไอที ฝ่ายบริการลูกค้า และอื่นๆ Collaborative CRM ช่วยให้ทุกแผนกในธุรกิจมีเป้าหมายเดียวกันร่วมกัน ซึ่งก็คือการปรับปรุงการบริการลูกค้า เพิ่มความภักดีของลูกค้า และการหาลูกค้าใหม่

ฟังก์ชันหลักของ CRM

ฟังก์ชันหลักของ CRM มีด้วยกันทั้งหมดสามฟังก์ชัน หนึ่งก็คือการจัดการผู้ติดต่อเพื่อใช้จัดเก็บข้อมูลผู้ติดต่อรวมถึงชื่อ หมายเลขโทรศัพท์ ที่อยู่ ที่อยู่อีเมล และบัญชีโซเชียลมีเดียในฐานข้อมูลที่ค้นหาได้ สองการติดตามการพูดคุยเพื่อใช้ป้อนบันทึกและติดตามประวัติการพูดคุยกับลูกค้าเพื่อบันทึกการสนทนากับลูกค้าเฉพาะราย และสามการจัดการลูกค้าเป้าหมายช่วยให้แบรนด์สามารถจัดการเปลี่ยนผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าให้กลายเป็นลูกค้าจริงได้ มากไปกว่านั้นฟังชั่นของ CRM ยังมีมากมายอีกหลายอย่างเช่น

– การตัดสินใจโดยใช้ AI
– เวิร์กโฟลว์อัตโนมัติ
– รองรับการ integration กับ third party
– การรายงาน/แดชบอร์ดและการวิเคราะห์
– การพยากรณ์การขาย
– แชทบอท AI สนทนา
– เป็นศูนย์กลางในการเก็บข้อมูล
– การจัดการเอกสาร
– การจัดการไปป์ไลน์การขาย
– CRM มือถือ
– การจัดการใบเสนอราคาและข้อเสนอ
– รองรับ REST API
– การจัดการโซเชียลมีเดีย

CRM ช่วยให้แบรนด์สร้างความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นกับลูกค้า

CRM เกือบจะทุกแบรนด์นั้นมีฟังชั่นที่สามารถส่งอีเมลแบบอัตโนมัติ(Email Automation) ไปยังลูกค้าตัวอย่างเช่น หลังจากการซื้อครั้งล่าสุดของลูกค้าทางนักการตลาดได้มีการกำหนดจำนวนวันไว้ล่วงหน้าว่าพอครบกำหนด 7 วันหลังจากที่ลูกค้าซื้อสินค้าแล้วเราจะมีการทำ Email Marketing แบบ Upsell ไปหาลูกค้าอีกครั้ง ด้วยฟังชั่นนี้จึงทำให้แบรนด์ยังคงติดต่อกับลูกค้าผ่านอีเมลส่วนบุคคลที่ส่งเนื้อหาที่เกี่ยวข้องเช่น ข้อเสนอ คูปอง โปรโมชันตามฤดูกาล และสิ่งจูงใจ

และเทมเพลตอีเมลที่ส่งออกไปนั้นสามารถปรับแต่งได้ตามสถานการณ์โดยจะเป็นการส่งแบบอัตโนมัติอีกด้วย เช่น การซื้อ (ขอบคุณสำหรับการสั่งซื้อของคุณ) การสอบถามเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ (คุณถามเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์นี้) การละทิ้งตะกร้าสินค้า (เราสังเกตเห็นว่าคุณทิ้งสินค้าหลายรายการในรถเข็นของคุณ) ลูกค้า การโทรบริการ (เราหวังว่าเราจะสามารถแก้ปัญหาของคุณได้) และอื่นๆ

CRM สามารถปรับปรุงการบริการลูกค้า

CRM ช่วยให้เข้าถึงทุกช่องทางการสื่อสารที่ลูกค้าได้มีการพูดคุยไว้กับแบรนด์ได้แบบReal time รวมถึงประวัติการแชท ประวัติการซื้อ และการบริการลูกค้า สิ่งนี้จะช่วยให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายบริการลูกค้าสามารถดึงรายละเอียดของลูกค้าได้ทันทีในขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยกับลูกค้า

เจ้าหน้าที่ฝ่ายสนับสนุนจะรู้ได้อย่างชัดเจนว่ากำลังพูดอยู่กับใครตั้งแต่วินาทีที่รับสาย เนื่องจากหมายเลขโทรศัพท์ของลูกค้าจะถูกเชื่อมโยงกับชื่อ ฝ่ายบริการสามารถทักทายลูกค้าด้วยชื่อ และทราบการซื้อล่าสุดของลูกค้า ดังนั้นหากลูกค้าต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ เจ้าหน้าที่ฝ่ายสนับสนุนจะสามารถดึงข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์นั้นได้ทันที CRM ช่วยให้มองเห็นแบบองค์รวม 360 ของลูกค้าแต่ละราย ซึ่งให้ข้อมูลทั้งหมดที่ได้รับเกี่ยวกับลูกค้าตั้งแต่การติดต่อครั้งแรกกับแบรนด์ และช่วยให้แบรนด์สามารถติดต่อกับลูกค้าได้อย่างต่อเนื่องและสามารถประเมินระดับความพึงพอใจของลูกค้าได้อย่างต่อเนื่องอีกด้วย

CRM ช่วยทำให้การสื่อสารกับลูกค้าดีมากยิ่งขึ้น

จากการเก็บรวบรวมข้อมูลและศึกษาข้อมูลประชากรของลูกค้า พฤติกรรมการท่องเว็บออนไลน์ พฤติกรรมการซื้อ และการโต้ตอบบนช่องทาง Social media CRM สามารถช่วยในการแบ่งกลุ่มลูกค้าให้ละเอียดยิ่งขึ้น ซึ่งช่วยให้แบรนด์สามารถกำหนดวิธีการเข้าถึงลูกค้าแต่ละรายได้ดีขึ้น เมื่อพิจารณาจากพฤติกรรมที่ผ่านมาของลูกค้ากับแบรนด์ CRM ยังช่วยให้แบรนด์สามารถส่งข้อความส่วนตัวไปยังลูกค้าผ่านช่องทางที่ลูกค้าต้องการได้ไม่ว่าจะเป็นอีเมลโซเชียลมีเดียหรือการให้โทรหา

สุดท้าย

ในปัจจุบันหลายบริษัทกำลังใช้ CRM เพื่อกระตุ้นยอดขาย แต่จริงๆแล้ว CRM ยังสามารถเป็นเครื่องมือสำหรับการปรับปรุงการให้บริการและทำให้ลูกค้าเกิดความพึงพอใจของลูกค้าได้เช่นกัน CRM สามารถใช้เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดียิ่งขึ้นกับลูกค้า ปรับปรุงการบริการลูกค้า อำนวยความสะดวกช่วยให้การตอบสนองที่รวดเร็วขึ้นระหว่างแบรนด์กับลูกค้า ปรับแต่งการสื่อสารกับลูกค้าให้เป็นแบบส่วนบุคคลมากยิ่งขึ้น และช่วยปรับปรุง Customer journey ในทุกๆ  Touchpoints

 

Get on the path to faster sales! 
Watch a guided tour or try free trial now!

มาร่วมทดลอง salesforce CRM #1 กันเถอะ

ทดลองฟรี
CRM สามารถช่วยพัฒนาความสัมพันธ์
บทความ

CRM สามารถช่วยพัฒนาความสัมพันธ์กับลูกค้าได้อย่างไร ?

CRM (ระบบการจัดการลูกค้าสัมพันธ์) เป็นแพลตฟอร์มที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีในการจัดการและจัดระเบียบในการสื่อสารกับลูกค้าและข้อมูลรวมถึงติดตามดู Customer journey ของลูกค้า จึงช่วยให้บริษัทเข้าใจลูกค้าได้ดีขึ้น ปรับปรุงความพึงพอใจของลูกค้า และผลักดันการเติบโตของยอดขาย ในบทความนี้เราจะพาไปดูว่า CRM สามารถช่วยพัฒนาความสัมพันธ์กับลูกค้าได้อย่างไร

ช่วยให้เข้าใจความต้องการและพฤติกรรมของลูกค้าแบบเชิงลึก

ประโยชน์ที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของ CRM คือความสามารถในการช่วยให้บริษัทเข้าใจลูกค้าของตนเองแบบเชิงลึกด้วยการติดตามการสื่อสารและ Customer journey บริษัทจะได้รับข้อมูลเชิงลึกที่เกี่ยวกับความต้องการ ความชอบ และพฤติกรรมของลูกค้า ข้อมูลนี้สามารถใช้เพื่อปรับแต่งแผนการตลาดและการขายเพื่อที่จะตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่ความพึงพอใจและสร้าง Loyalty เพื่อให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ

ช่วยปรับปรุงการสื่อสารภายในองค์กรให้ดียิ่งขึ้น

CRM สามารถช่วยให้บริษัทมีการการสื่อสารระหว่างกันภายในองค์กรและการทำงานร่วมกันที่ดียิ่งขึ้น เนื่องจาก CRM มีหน้าทำที่ตัวเป็นศูนย์กลางรวบรวมข้อมูลลูกค้าและการสื่อสาร บริษัทต่างๆสามารถมั่นใจได้เลยว่าสมาชิกในทีมทุกคนสามารถเข้าถึงข้อมูลเดียวกันได้และเห็นข้อมูลลูกค้าแบบเดียวกัน ด้วยเหตุนี้จึงช่วยให้ทีมทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นเพื่อให้เกิดความพึงพอใจกับลูกค้ามากที่สุด

การตลาดแบบเฉพาะบุคคล (Personalized Marketing)

อีกวิธีหนึ่งที่ CRM สามารถช่วยพัฒนาความสัมพันธ์กับลูกค้าได้ก็คือการทำให้บริษัท สื่อสารกับลูกค้าแบบ Personalization ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าตนเองนั้นได้รับการบริการแบบพิเศษจากบริษัท ตัวอย่างเช่นเราใช้ CRM เก็บข้อมูลลูกค้าเพื่อสร้างแคมเปญการตลาดที่ตรงเป้าหมายและมีความเกี่ยวข้อง สิ่งนี้สามารถนำไปสู่การมีส่วนร่วมของลูกค้า ความภักดี และการสนับสนุนที่เพิ่มขึ้น

ระบบ Automation ช่วยให้สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น

นอกจากช่วยปรับปรุงการสื่อสารให้ดียิ่งขึ้นแล้ว CRM ยังสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้กับคนในองค์กรด้วยฟีเจอร์ที่ช่วยให้การทำงานสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นโดยการทำงานแบบอัตโนมัติ (Automation) การติดตามลีด การจัดการโอกาส และการบริการลูกค้า ช่วยให้บริษัทประหยัดเวลาและทรัพยากร และลดความเสี่ยงจากความผิดพลาดของมนุษย์ สิ่งนี้สามารถช่วยให้บริษัทต่าง ๆ ให้บริการลูกค้าได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งสามารถปรับปรุงความพึงพอใจของลูกค้าได้

วิเคราะห์ความคิดเห็นของลูกค้า

และสุดท้าย CRM สามารถช่วยบริษัทวัดผลและวิเคราะห์ความคิดเห็นของลูกค้าได้จากการติดตาม Customer journey บริษัทจะได้รับข้อมูลเชิงลึกที่เกี่ยวกับความพึงพอใจของลูกค้าและระบุจุดที่ต้องปรับปรุง(Pain point) ข้อมูลเหล่านี้สามารถใช้เพื่อปรับปรุงตัว Product ของบริษัทการบริการและกระบวนการของเราให้เพื่อให้เกิดความพึงพอใจของลูกค้ามากยิ่งขึ้น

สรุป

CRM สามารถช่วยปรับปรุงความสัมพันธ์กับลูกค้าให้ดียิ่งขึ้นได้ด้วยการเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงลึกของลูกค้าเพื่อนำมาทำ Personalized marketing  ช่วยปรับปรุงการสื่อสารและการทำงานร่วมกันในภายในองค์กร เป้าหมายสูงสุดของ CRM ก็คือการสร้างประสบการณ์ลูกค้าที่ดีขึ้นและสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าที่ยาวนานเพื่อให้ลูกค้าเกิดความพึงพอใจกับสินค้าหรือบริการของเรา

 

Get on the path to faster sales! 
Watch a guided tour or try free trial now!

มาร่วมทดลอง salesforce CRM #1 กันเถอะ

ทดลองฟรี

Salesforce incrase ROI
บทความ

Salesforce สามารถช่วยเพิ่ม ROI ให้กับองค์กรได้

Salesforce สามารถช่วยเพิ่ม ROI ให้กับองค์กรได้

แน่นอนว่าการคำนึงถึงลูกค้าเป็นสิ่งสำคัญที่สุดเป็นอันดับแรก ดังนั้น Salesforce จึงได้รับการออกแบบมาเพื่อเสริมศักยภาพให้กับธุรกิจและช่วยจัดการกับปัญหาต่างๆที่อาจเกิดขึ้นเมื่อมีการสื่อสารกับลูกค้า ยิ่งไปกว่านั้นถ้าเรากำลังมองหาเครื่องมือเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับธุรกิจสักอย่างหนึ่งและช่วยเพิ่ม ROI Salesforce CRM คือโซลูชันที่เหมาะสมที่สุดถ้าเราเลือกที่จะลงทุน Salesforce ไม่เพียงแต่ทำให้ธุรกิจสามารถเชื่อมต่อกับลูกค้าได้ดีขึ้นแต่ยังช่วยให้ธุรกิจเติบโตเร็วขึ้นอีกด้วย

5 ข้อดีของ Salesforce CRM ที่จะช่วยเพิ่ม ROI ให้กับธุรกิจ

1. สร้างโอกาสที่จะเพิ่มการขายให้กับบริษัท

การสร้างโอกาสในการขายให้กับบริษัทนั้นเป็นสิ่งสำคัญสำหรับธุรกิจ และ Salesforce สามารถช่วยให้บริษัทสามารถกำหนดเป้าหมายลีดได้ชัดเจนและหลีกเลี่ยงโอกาสที่จะพลาดกับลีดและสามารถแจ้งให้ทราบเกี่ยวกับลีดที่เป็นไปได้ทั้งหมดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน เนื่องจาก Salesforce จะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางเก็บข้อมูลของลูกค้าไม่ว่าจะเป็นลูกค้าเก่าหรือลูกค้าที่เข้ามาใหม่และผู้ที่มีโอกาสเป็นลูกค้าของเราอีกด้วย มากไปกว่านั้นไม่ว่าลูกค้าหรือคนที่มีโอกาสเป็นลูกค้าจะเข้ามาจากช่องทางไหนคุยกับใครก็จะถูกบันทึกพฤติกรรมไว้หมดซึ่งคนในองค์กรของเราจะเห็นข้อมูลของลูกค้าคนนี้เป็นข้อมูลแบบเดียวกันทั้งหมด

2. เพิ่มประสิทธิภาพการขาย

Salesforce สามารถติดตามผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าแต่ละรายได้อย่างง่ายดายและช่วยในการรวบรวมข้อมูลแบบ First-Party data เช่น อะไรคือสิ่งที่ลูกค้าคาดหวังจากเรา, ลูกค้ามี Pain point อะไรทำไมถึงสนใจสินค้าจากเราและอื่นๆอีกมากมาย

3.ทำข้อมูลให้เป็นเรื่องง่ายๆ

บริษัทส่วนใหญ่ที่ทาง M Intelligence ให้บริการปรึกษานั้นจะเจอปัญหาก็คือการที่ข้อมูลถูกเก็บไว้หลายที่และมีช่องทางการติดต่อสื่อสารหลากหลายช่องทางทำให้ข้อมูลที่เก็บมานั้นไม่เป็นระเบียบ ผิดพลาด และตกหล่นได้เนื่องจากมี human error ซึ่ง Salesforce จะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการเก็บข้อมูลไม่ว่าข้อมูลนั้นจะมาจากช่องทางไหนและสามารถเรียกดูหรือใช้ข้อมูลนั้นได้อย่างง่ายดาย

4. ช่วยรักษาลูกค้าเก่า

Salesforce ให้ข้อมูลลูกค้าเป็นรายบุคคลและสร้างโปรไฟล์ของลูกค้าคนนั้นๆในโปรไฟล์ของลูกค้าจะมีข้อมูลเช่น ประวัติการซื้อ และการตอบสนองต่อแคมเปญการตลาดเพื่อรักษาลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น ด้วยข้อมูลเหล่านี้จึงทำให้บริษัทสามารถคิดแคมเปญหรือหาโซลูชั่นที่ดีกว่าเพื่อรักษาลูกค้าเก่าและเพิ่มรายได้ให้กับบริษัท

5. เพิ่ม Productivity ให้กับบริษัท

Salesforce ทำให้งานที่ใช้เวลานานๆเสร็จได้ภายในไม่กี่นาที ตัวอย่างเช่นงานที่ต้องเสียเวลากับการเขียนอีเมล์หาลูกค้าแบบรายบุคคลก็เปลี่ยนเป็นแบบอัตโนมัติ จึงทำให้นักการตลาดในบริษัทไม่ต้องเสียเวลาไปกับงานอะไรที่ไม่จำเป็นและมีเวลาไปทำอย่างอื่นที่สำคัญกว่า

สรุป

Salesforce เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้บริษัทต่างๆเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) โดยการให้ข้อมูลเชิงลึกทางธุรกิจและกระบวนการที่คล่องตัว ด้วยวิธีการที่เน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ช่วยให้บริษัทนั้นสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดีขึ้นและเชื่อมต่อกับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ Salesforce CRM ยังมีระบบ Automation ซึ่งจะช่วยให้นักการตลาดของบริษัทประหยัดเวลามากยิ่งขึ้นและดึงข้อมูลเชิงลึกที่เก็บได้มาทำแคมเปญด้านการตลาดเพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุด

ถ้าหากท่านใดกำลังสนใจระบบ CRM สามารถอ่านเพิ่มเติมได้เกี่ยวกับ Salesforce คลิ๊กที่นี่ลิงค์ Salesforce คืออะไร ?

และหากท่านใดต้องการอ่านเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ CRM สามารถอ่านต่อได้ที่นี่

 

Get on the path to faster sales! 
Watch a guided tour or try free trial now!

มาร่วมทดลอง salesforce CRM #1 กันเถอะ

ทดลองฟรี

CRM ช่วยพัฒนาและสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าได้อย่างไร ?
บทความ

CRM ช่วยพัฒนาและสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าได้อย่างไร ?

CRM (Customer relationship management) หรือที่เราเรียกกันว่าการจัดการลูกค้าสัมพันธ์นั้นเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับธุรกิจทุกขนาดในการจัดการการสื่อสารกับลูกค้าปัจจุบันและผู้ที่มีโอกาสเป็นลูกค้าในอนาคตจุดประสงค์คือเพื่อทำให้กระบวนการภายในของบริษัทนั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้นและเพื่อรวบรวมจัดเก็บข้อมูลลูกค้าจำนวนมากข้อมูลที่ได้เก็บรวบรวมมานั้นสามารถใช้เพื่อผลักดันการเติบโตของยอดขายและเพิ่มการทำกำไรได้

ไม่ใช่แค่ช่วยเพิ่มกำไรและปรับปรุงกระบวนการดำเนินงานภายในองค์กร CRM ยังได้รับการออกแบบมาเพื่อปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้าให้ดีขึ้นอีกด้วย(Customer experience) เช่น การทำความเข้าใจความสนใจของลูกค้า ประวัติการซื้อ ความชอบ และอื่นๆ ของลูกค้า ด้วยเหตุนี้บริษัทต่างๆสามารถปรับปรุงผลิตภัณฑ์ การให้บริการ หรือการตลาดเพื่อให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้ CRM จึงสามารถช่วยกระชับความสัมพันธ์ระหว่างธุรกิจกับลูกค้าและส่งเสริมความภักดีของลูกค้า (Loytalty)

CRM ช่วยพัฒนาและสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า

อย่างที่ได้บอกไปข้างบนว่า CRM ได้รับการออกแบบมาเพื่อปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้าให้ดีขึ้น ดังนั้น CRM จึงทำหน้าที่เป็นรากฐานเพื่อเก็บและวิเคราะห์ประสบการณ์ของลูกค้าที่มีต่อแบรนด์ ประสบการณ์ของลูกค้าในเชิงบวกมีความสำคัญต่อความสำเร็จของธุรกิจและสามารถช่วยลดการสูญเสียลูกค้าให้กับคู่แข่งได้เป็นอย่างมาก การศึกษาพบว่า CRM สามารถปรับปรุงการรักษาลูกค้าได้ถึง 27% การใช้ระบบ CRM เพื่อเพิ่มประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าไม่ว่าคุณจะเป็นองค์กรที่อยู่ในอุตสาหกรรมใดก็สามารถได้เปรียบในการแข่งขันและยังช่วยให้องค์กรสามารถสร้างฐานลูกค้าของตนเอง

การใช้ CRM ยังสามารถให้ประโยชน์หลายอย่างแก่ธุรกิจเช่น สามารถช่วยในการหาลูกค้าใหม่ รักษาลูกค้าเดิม และนำลูกค้าเก่ากลับมาทำให้เกิดการซื้อซ้ำ การทำให้การดำเนินงานบางส่วนของธุรกิจเป็นกลายเป็นแบบอัตโนมัติ (Automation) จากระบบการทำงานที่คล่องตัวจะสามารถช่วยให้ธุรกิจดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากขึ้นช่วยประหยัดทั้งเงินและเวลาเวลา

ตัวอย่างประโยชน์จากการใช้ CRM

  • ช่วยเพิ่มจำนวนลูกค้า
  • ช่วยสร้างความภักดีของลูกค้า (Loytaly)
  • ลดความซับซ้อนของกระบวนการขายและการตลาด
  • ช่วยพัฒนาและปรับปรุงการให้บริการลูกค้า
  • ช่วยให้การสื่อสารในทีมหรือทั้งองค์กรมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • เร่งกระบวนการตัดสินใจ
  • ช่วยปรับปรุงการรายงานข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูล
  • ช่วยให้นักการตลาดประหยัดเวลามากยิ่งขึ้น

สรุป

CRM ไม่ใช่แค่การช่วยให้บริษัทเพิ่มกำไรและช่วยในการปรับปรุงกระบวนการทำงานภายในองค์กร แต่ยังเกี่ยวกับการพัฒนาและปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้าให้ดีขึ้นอีกด้วย การใช้ CRM เพื่อทำความเข้าใจความต้องการของลูกค้า เราสามารถมอบประสบการณ์ที่เป็นแบบส่วนตัวมากยิ่งขึ้น(Personalization) และส่งเสริมความภักดีของลูกค้า (Loyalty) ประโยชน์ของการใช้ระบบ CRM มีมากมายดังนั้นองค์กรที่ลงทุนก่อนก็มักจะเห็นผลลัพธ์ที่ดีก่อนในแง่ของการเติบโตและผลกำไรและช่วยให้ได้เปรียบคู่แข่งเป็นอย่างมาก

ถ้าหากท่านใดกำลังสนใจระบบ CRM อยู่และยังไม่รู้ว่าจะเลือกใช้แบบไหนดีสามารถอ่านเพิ่มเติมได้เกี่ยวกับ Salesforce ก่อนโดยคลิ๊กที่นี่ลิงค์ Salesforce คืออะไร ?

 

Get on the path to faster sales! 
Watch a guided tour or try free trial now!

มาร่วมทดลอง salesforce CRM #1 กันเถอะ

ทดลองฟรี

1 2 3 4 5

ร่วมทดลอง CRM #1 ของโลกฟรี 30 วัน

Get a Quote

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรังปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ

Save