Articles Tagged with

Salesforce

ประโยชน์และข้อดีของ Omni channel
บทความ

ประโยชน์และข้อดีของ Omni channel

ท่ามกลางความคาดหวังของลูกค้าในปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา กลยุทธ์ Omnichannel ได้ขยายออกไปและมีอิทธิพลต่อลูกค้าทั่วโลก ครั้งหนึ่งเคยเป็นมีแต่ธุรกิจขนาดใหญ่และแบรนด์มูลค่าหลายพันล้านที่สามารถใช้ระบบ Omnichannel ได้ แต่ปัจจุบันได้กลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับบริษัทในทุกๆขนาด ปัจจุบันลูกค้าทั่วโลกกำลังมองหาประสบการณ์การซื้อที่เหมือนกับเวลาซื้อบนเว็บไซต์ Amazon เพียงแค่มีเว็บไซต์และการให้บริการลูกค้าที่ได้มาตรฐานนั้นไม่เพียงพออีกต่อไป เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในปัจจุบัน มากไปกว่านั้นธุรกิจต่างๆยังต้องสร้างความโดดเด่นในทุกด้านขององค์กรตนเอง ดังนั้น Omnichannel เลยเป็นคำตอบสำหรับธุรกิจในปัจจุบัน

ประโยชน์ของการตลาดแบบ Omnichannel

แนวโน้มการซื้อของลูกค้าในปัจจุบันไม่ใช่เส้นตรงอีกต่อไปหมายความว่าลูกค้าสามารถเข้าไปได้จากหลากหลายช่องทางในบางครั้งลูกค้าอาจจะเข้ามาชมสินค้าผ่านหน้าเว็บหรือโซเชียลมีเดียแต่สุดท้ายแล้วลูกค้าคนดังกล่าวอาจจะซื้อผ่านอีคอมเมิสหรือผ่านตัวเซลล์โดยตรง

key-benefits-of-omnichannel-marketing

revechat.com/blog/omnichannel-benefits/

1.ประสบการณ์ของลูกค้าที่ดีขึ้นและช่วยเพิ่ม Loyalty

การตลาดแบบ Omni จะมุ่งเน้นไปที่ประสบการณ์ทางการตลาดที่สอดคล้องกันผ่านจุดติดต่อและแพลตฟอร์มที่หลากหลาย (Customer touchpoints) ลูกค้าสามารถเข้าถึงแบรนด์ผ่านโฆษณา วิทยุ โฆษณา โซเชียลมีเดีย เว็บไซต์ ฯลฯ จากประโยชน์ของการตลาดแบบหลายช่องทางธุรกิจมีโอกาสที่จะเจอลูกค้าที่หลากหลายมากกว่าเดิมและทำ Personalization เพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายอีกครั้งเพื่อให้เกิดการซื้อ

2.การรับรู้แบรนด์เพิ่มมากขึ้น

การมีกลยุทธ์การตลาดแบบหลายช่องทางหมายความว่าลูกค้าจะได้รับประสบการณ์ที่สม่ำเสมอและราบรื่นในทุกช่องทางทุกครั้งที่พบแบรนด์หรือสินค้า ตัวอย่างเช่น หากลูกค้าได้รับประสบการณ์ส่วนบุคคล(Personalization) บนอุปกรณ์เคลื่อนที่ ดังนั้นบนคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อปก็ควรที่จะได้รับประสบการณ์ที่ประทับใจเหมือนกัน กลยุทธ์การตลาดหลายช่องทางที่ออกแบบมาอย่างดีเพื่อที่จะช่วยเพิ่มการรับรู้จากกลุ่มเป้าหมายหากแบรนด์ของคุณเคยทำการตลาดมาก่อนอย่างน้อยที่สุดลูกค้าก็คุ้นเคยกับชื่อแบรนด์และผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณสิ่งนี้สามารถช่วยให้คุณได้เปรียบเหนือคู่แข่งอย่างมาก

3.ช่วยเพิ่มรายได้ให้ธุรกิจ

ประโยชน์ที่สำคัญอย่างหนึ่งของการตลาดแบบหลายช่องทางคือการเพิ่ม ROI (ผลตอบแทนจากการลงทุน) ROI เป็นการวัดผลที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในทางการตลาด กลยุทธ์การตลาดแบบหลายช่องทางสามารถประสบความสำเร็จอย่างมาก เมื่อการมีส่วนร่วมของลูกค้าที่ดีขึ้นจะนำไปสู่ Conversion และรายได้ทางธุรกิจที่สูงขึ้น

สรุป

Omnichannel คือ การใช้ช่องทางต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกในการติดต่อและซื้อ-ขาย โดยให้ลูกค้าสามารถติดต่อแบรนด์ได้ทุกช่องทางโดยไม่มีความสะดุดตอบรับ แนวคิดหลักของ Omnichannel คือการเชื่อมโยงและซิงค์ข้อมูลทุกช่องทางเพื่อให้ธุรกิจเข้าใจลูกค้าและสร้างประสบการณ์ลูกค้าที่ดีขึ้น

กระบวนการในการทำ Omnichannel รวมถึงการเลือกใช้ช่องทางต่างๆ การเชื่อมต่อช่องทาง การมอบประสบการณ์ที่น่าประทับใจแก่ลูกค้า และการเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อใช้ให้เป็นประโยชน์ แม้ว่าการดูและดำเนินการในรูปแบบ Omnichannel อาจจะดูซับซ้อน แต่ธุรกิจสามารถใช้ซอฟต์แวร์หรือเครื่องมือเป็นตัวกลางในการดำเนินการได้

Get on the path to faster sales! 
Watch a guided tour or try free trial now!

มาร่วมทดลอง Salesforce CRM #1 กันเถอะ

ทดลองฟรี
Salesforce net zero cloud
บทความ

มาทำความรู้จักกับ Salesforce Net Zero Cloud

Net zero world คือโลกที่สมดุล การบรรลุเป้าหมาย Net Zero Cloud นั้นหมายถึงการที่ไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากเกินกว่าที่เราจะกำจัดออกไปได้ ไม่ว่าจะโดยวิธีธรรมชาติหรือผ่านการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย และตอนนี้โลกก็กำลังเข้าสู่สภาวะที่ร้อนขึ้นในทุกๆปี และในทุกๆ 5 ปีโลกจะอุณภูมิสูงขึ้นเฉลี่ย 5 องศา ดังนั้นจึงเกิดสิ่งที่เรียกว่า Salesforce Net Zero Cloud ขึ้นมาเพื่อคอยควบคุมและดูแลบริษัทต่างๆไม่ให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดมาตรฐานที่รัฐบาลของแต่ละประเทศได้กำหนดเอาไว้

Salesforce Net Zero Cloud คืออะไร ?

Salesforce Net Zero Cloud ก็คือซอฟแวร์โซลูชั่นที่จะเข้ามาคอยควบคุมและดูแลบริษัทต่างๆไม่ให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดมาตรฐานที่รัฐบาลของแต่ละประเทศได้กำหนดเอาไว้ ซึ่งเป้าหมายของ Net Zero Cloud คือการช่วยให้ลูกค้าสามารถสร้าง Carbon Footprint ที่แม่นยำและใช้งานได้จริงพร้อมสำหรับการตรวจสอบจากนักตรวจสอบคาร์บอนเพื่อให้เป็นไปตามกฏกหมายของแต่ละประเทศ

ในอนาคตจะมีสิ่งที่เรียกว่า Carbon credits

Carbon credits มีไว้เพื่อหลีกเลี่ยง ลด หรือกำจัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยมีหน่วยวัดเป็นเมตริกตันของคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO2e) ปริมาณก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gas: GHG) ที่สามารถลดหรือกักเก็บได้มาจากการดำเนินโครงการลดก๊าซเรือนกระจกผ่านกลไกต่างๆ เช่น การปลูกป่า การเพิ่มพื้นที่สีเขียว และการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอน ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ถูกลดหรือกักเก็บนี้จะถูกวัดในหน่วยตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (carbon dioxide equivalent: CO2e) โดยก๊าซเรือนกระจกที่รับการควบคุมตามพิธีสารเกียวโต (Kyoto Protocol) มีทั้งหมด 7 ชนิด ได้แก่ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ก๊าซมีเทน (CH4) ก๊าซไนตรัสออกไซด์ (N2O) ก๊าซไฮโดรฟลูออโรคาร์บอน (HFC) ก๊าซเพอร์ฟลูออโรคาร์บอน (PFC) ก๊าซซัลเฟอร์เฮกซะฟลูออไรด์ (SF6) และก๊าซไนโตรเจนไตรฟลูออไรด์ (NF3) ประเทศที่มีการควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสามารถใช้ก๊าซเรือนกระจกที่ลดหรือกักเก็บได้เป็นเครดิต โดยองค์กรที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนดสามารถขายเครดิตก๊าซเรือนกระจกให้กับองค์กรอื่นๆ

Salesforce Net Zero Cloud แตกต่างกับโปรแกรมอื่นๆอย่างไร ?

Net Zero Cloud ช่วยให้จัดการการปล่อยมลพิษทั่วทั้งระบบนิเวศขององค์กรรวมไปถึงซัพพลายเออร์ของบริษัทและที่เป็นพาร์ทเนอร์กับเรา และยังสามารถตั้งเป้าหมาย Science Based Targets และวัดความก้าวหน้าโดยสามารถวัดความเข้มของพลังงานในอาคาร (BEI) โดยใช้ Net Zero Cloud ซึ่งช่วยให้รายงานการใช้พลังงานของอาคารได้ทันที สิ่งที่ทำให้ Net Zero Cloud แตกต่างจากเครื่องมือบัญชีคาร์บอนอื่นๆ คือวิธีการทำงานอย่างราบรื่นกับโซลูชัน Salesforce ระดับโลกอื่นๆ เช่น Tableau CRM, Slack และ Sales Cloud

สรุป

Carbon accounting จะเข้าไปอยู่ในระบบของทุกองค์กรภายในไม่ช้า ซึ่งปัจจุบันเป็นเวลาที่ดีที่เราจะได้คิดวางแผนพูดกับไม่ว่าจะเป็นกับคนในองค์กร ซัพพลาย หรือ พาร์ทเนอร์ของเราเกี่ยวกับการหาวิธีที่จะจัดการบัญชีคาร์บอนของพวกเขา  Salesforce Net Zero Cloud จะช่วยให้องค์กรต่างๆบรรลุเป้าหมายคาร์บอนได้อย่างถูกต้อง ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ

Get on the path to faster sales! 
Watch a guided tour or try free trial now!

มาร่วมทดลอง Salesforce CRM #1 กันเถอะ

ทดลองฟรี
Salesforce customer success
บทความ

Salesforce customer success กับบริษัท Axa Singapore

แอกซ่าสิงคโปร์ได้บอกไว้ว่า

“Salesforce ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงวิธีการขาย บริการ และการมีส่วนร่วมกับลูกค้าแบบองค์รวมหมายถึงทั้งฝ่ายขาย และ ฝ่ายการตลาด รวมถึงฝ่ายบริการหลังการขายสามารถเห็นข้อมูลลูกค้าได้แบบเดียวกันทั้งหมดเช่น ประวัติการซื้อขาย ช่องทางที่ลูกค้าเข้ามา และการแชทพูดคุยระหว่างเจ้าหน้าที่และลูกค้า และจำเป็นต้องย้ายจากระบบที่ปกติที่ใช้กันอยู่ไปสู่แนวทางแพลตฟอร์ม Salesforce ที่ช่วยพลิกโฉมให้กับธุรกิจธุรกิจ”

การมีส่วนร่วมของลูกค้า AXA Singapore กับ Salesforce

ในฐานะหนึ่งในบริษัทประกันภัยชั้นนำของโลก AXA Singapore ต้องการช่วยให้ลูกค้าใช้ชีวิตด้วยความอุ่นใจมากขึ้นนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ช่วยปกป้องลูกค้าจากความเสี่ยงต่างๆและกำลังเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล

“โดยวิสัยทัศน์ของเรานั้นเรียบง่ายมากเราต้องการเป็นบริษัทประกันดิจิทัลที่ดีที่สุดเพื่อสร้างคุณค่าและความแตกต่างให้กับลูกค้าและคู่ค้าของเรา” Tomasz Kurczyk หัวหน้าฝ่ายการเปลี่ยนแปลงและเจ้าหน้าที่ด้านดิจิทัลของ AXA Singapore กล่าว

ความจริงนั้นซับซ้อนกว่านั้นมาก ลูกค้าคาดหวังผลิตภัณฑ์และบริการที่เกี่ยวข้องมากขึ้นและปรับให้เหมาะกับความต้องการของพวกเขา(Personalization) ในขณะเดียวกัน การจัดส่งข้อมูลหรือข้อความผ่านทุกช่องทางได้กลายเป็นมาตรฐานไปแล้วในปัจจุบันเพื่อสร้างความประทับใจกับลูกค้าซึ่งส่งผลให้ Customer satisfaction เพิ่มเมื่อ Customer satisfaction เพิ่มก็จะส่งผลต่อไปยัง Customer loyalty ทำให้ลูกค้านั้นอยากอยู่กับเราไปตลอด

Omni-channel และ Single view of customer คือรากฐานสำคัญ

มุมมองเดียวของลูกค้าหรือที่เรียกว่า Single view of customer เป็นรากฐานสำหรับการให้บริการแบบ Omnichannel
แอกซ่าสิงคโปร์ได้พัฒนาระบบดิจิทัลใหม่ ซึ่งครอบคลุมการขาย การบริการ และการตลาด แพลตฟอร์มความสำเร็จของลูกค้า โดยใช้ Salesforce เป็นหนึ่งในองค์ประกอบหลักเพื่อให้เกิด Single view of customer

Kurczyk กล่าวว่ามุมมองของลูกค้าในปัจจุบันมีความสำคัญต่อการนำเสนอประสบการณ์แบบหลายช่องทาง(Omnichannel) และจะต้องมีการใช้งานระบบอัตโนมัติให้มากขึ้น(Automation) ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่เป็นส่วนตัวมากขึ้นทั้งทางโทรศัพท์และผ่านช่องทางดิจิทัล และด้วยโซลูชั่น Marketing Cloud ทำให้ AXA Singapore สามารถให้เนื้อหา คำแนะนำ และข้อเสนอตามโปรไฟล์ของลูกค้าเฉพาะบุคคลได้ นอกจากนี้ยังสามารถทดสอบและวัดผลการสื่อสารเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการมีส่วนร่วมของลูกค้า

“Salesforce เรามีข้อมูลเชิงลึกมากขึ้นเกี่ยวกับลูกค้าของเรา และสามารถปรับแต่งและทำให้จุดสัมผัสเป็นแบบอัตโนมัติ(Touchpoints ต่างๆ) เช่น อีเมลและ SMS” Kurczyk กล่าว “หากลูกค้าซื้อประกันภัยการเดินทางแบบเที่ยวเดียว เราสามารถส่งอีเมลหลังการเดินทางเพื่อต้อนรับการกลับมาและเตือนลูกค้าถึงวิธีการส่งคำร้อง นอกจากนี้ เรายังสามารถโปรโมตผลิตภัณฑ์อื่นๆ และแอป MyAXA ซึ่งเป็นร้านค้าครบวงจรแบบบริการตนเองสำหรับลูกค้า”

ความพึงพอใจของลูกค้าต่อช่องทางดิจิตอลของ AXA Singapore นั้นสูงมากจนน่าประทับใจ ลูกค้าประมาณ 90% พอใจหรือพอใจมากหลังจากโต้ตอบกับผู้รับประกันภัยทางออนไลน์ ธุรกิจได้เริ่มรวบรวมความคิดเห็นมากขึ้นผ่านแบบสำรวจที่ส่งถึงลูกค้า หลังจากที่ Kurczyk เรียกว่า “moment of truth” ซึ่งรวมถึงช่วงเวลาที่ลูกค้าซื้อหรือต่ออายุกรมธรรม์เรียกร้องหรือติดต่อฝ่ายดูแลลูกค้าของ AXA ไม่ว่าพวกเขาจะใช้ช่องทางใดก็ตาม ทางทีมสามารถเห็นประสิทธิภาพการทำงานและระบุจุดที่ต้องปรับปรุง

สรุป

การใช้งาน Salesforce กับ AXA Singapore มีบทบาทสำคัญในเส้นทางการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล ทำให้บริษัทสามารถพัฒนาการมีส่วนร่วมของลูกค้าและมอบประสบการณ์ที่เป็นส่วนตัวที่ดียิ่งขึ้น การใช้แพลตฟอร์ม Salesforce ทำให้เกิดประโยชน์จนนำไปสู่ความสำเร็จของลูกค้า Salesforce ทำให้ AXA Singapore ได้รับมุมมองเดียวของลูกค้า ทำให้สามารถให้บริการแบบหลายช่องทางและระบบอัตโนมัติได้อย่างราบรื่น การนำ Marketing Cloud ไปใช้งานช่วยอำนวยความสะดวกในการส่งมอบเนื้อหาและข้อเสนอที่ปรับแต่งตามโปรไฟล์ลูกค้า ซึ่งนำไปสู่ความเกี่ยวข้องที่เพิ่มขึ้นและความพึงพอใจของลูกค้า นอกจากนี้ ความสามารถด้านการทำงานอัตโนมัติบน Salesforce ยังส่งผลให้เกิดประสิทธิภาพที่สำคัญและการดูแลลูกค้าที่รวดเร็วขึ้น โดยมีข้อผิดพลาดและเวลาตอบสนองลดลงสูงสุดถึง 50% แอกซ่าสิงคโปร์ยังได้ปรับปรุงเครือข่ายผู้จัดจำหน่ายผ่านการใช้ Experience Cloud เพื่อให้คู่ค้าและตัวแทนมีศูนย์กลางสำหรับการจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้าผู้จัดจำหน่ายไม่เพียงปรับปรุงประสิทธิภาพภายในเท่านั้นแต่ยังช่วยเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้าอีกด้วย การดำเนินงานเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ AXA Singapore ในการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องและการมุ่งเน้นที่การให้คุณค่าแก่ลูกค้าและคู่ค้า ด้วยการเชื่อมโยงเทคโนโลยีเข้ากับพันธกิจในการส่งเสริมให้ลูกค้ามีชีวิตที่ดีขึ้น

Get on the path to faster sales! 
Watch a guided tour or try free trial now!

มาร่วมทดลอง Salesforce CRM #1 กันเถอะ

ทดลองฟรี
Customer 360
บทความ

อะไรคือ Customer 360

Customer 360 (หรือ Single Customer View) ก็คือมุมมอง 360 ของการเดินทางของลูกค้า (Customer Journey) แสดงให้เห็นภาพรวมของลูกค้าของคุณทั้งหมดตลอดเส้นทางต่างๆ ของลูกค้าทั้งการตลาด การขาย การดำเนินงาน และการบริการลูกค้าทีมที่ต้องติดต่อกับลูกค้าทั้งหมดจะได้รับการเข้าถึงข้อมูลลูกค้าที่สำคัญไม่ต้องเสียเวลาเพื่อค้นหาข้อมูลเหล่านั้น Customer 360 โดยปกติแล้วข้อมูลเหล่านี้จะถูกจัดเก็บและกระจัดกระจายไปทั่วองค์กรในทีมต่าง ๆ อย่างไม่เป็นระบบ แต่เมื่อเราสามารถรวมข้อมูลลูกค้าจากแหล่งที่ต่าง ๆ มาอัพเดทเป็นเวลาจริง และนี่ก็เป็นความหมายของ Customer 360 นั่นเอง คือการรวบรวมข้อมูลทั้งหมดของลูกค้าที่เข้ามาอยู่ในระบบ ซึ่งจะทำให้เราเข้าใจภาพความจริงของลูกค้าแต่ละคนได้อย่างชัดเจน

ข้อดีของ Customer 360

  • ช่วยสร้างแคมเปญด้านการขายและการตลาดมากขึ้น ประโยชน์หลักของมุมมองลูกค้าแบบ 360 คือความสามารถในการขยายทีมขายและทีมการตลาด ทีมเหล่านี้สามารถสร้างแคมเปญการขายและการตลาดเชิงรุกได้มากขึ้นโดยใช้ข้อมูลที่มีอยู่ ตัวอย่างเช่น หากผู้ค้าปลีกเห็นว่าลูกค้าซื้อรองเท้าผ้าใบและอุปกรณ์กีฬาบ่อยครั้ง ทีมขายและการตลาดสามารถสร้างแคมเปญการตลาดและโฆษณาที่กำหนดเป้าหมายตามความสนใจนี้ได้

 

  • เข้าใจลูกค้าและพฤติกรรมของพวกเขา ข้อดีอีกอย่างของการมองลูกค้าแบบ 360 องศาคือความสามารถในการเข้าใจลูกค้า รสนิยม และพฤติกรรมของพวกเขาได้ดียิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น ด้วยมุมมองโดยรวมของลูกค้า ผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพสามารถเข้าใจไม่เพียงแต่ประวัติทางการแพทย์แบบองค์รวมของผู้ป่วย แต่ยังรวมถึงพฤติกรรมและพฤติกรรมของพวกเขาด้วย ผู้ป่วยนัดตรวจประจำปีเป็นประจำหรือไม่? ประวัติทางการแพทย์ของผู้ป่วยเป็นอย่างไร และมาตรการป้องกันใด (หากมี) ผู้ให้บริการด้านสุขภาพสามารถทำได้

 

  • มอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่เป็นส่วนตัวมากขึ้น บางทีประโยชน์ที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งของมุมมองลูกค้าแบบ 360 องศาก็คือความสามารถในการมอบประสบการณ์การช็อปปิ้งที่เป็นส่วนตัวมากขึ้น ธุรกิจต่างๆ สามารถใช้ข้อมูลที่รวบรวมและประเมินค่าไม่ได้เพื่อมอบประสบการณ์ที่เป็นส่วนตัวมากขึ้นแก่ลูกค้าตลอดเส้นทางการช็อปปิ้งตลอดชีวิต ตัวอย่างเช่น หากธนาคารทราบว่าขณะนี้ลูกค้ามีผู้อยู่ในอุปการะรายใหม่ที่จะเข้าเรียนในวิทยาลัยในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ธนาคารสามารถส่งข้อเสนอบัญชีออมทรัพย์ส่วนบุคคลให้กับลูกค้าได้ และในทำนองเดียวกัน ธนาคารสามารถจัดเตรียมแผนการเกษียณอายุที่เป็นส่วนตัวมากขึ้นให้กับลูกค้าได้

ความท้าทายในการสร้างมุมมอง 360 องศาของลูกค้า

หนึ่งในความท้าทายหลักอยู่ที่การรวบรวมข้อมูลจากแหล่งที่แตกต่างกันการทำ Customer 360 ที่ยากและท้าทายที่สุดคือการรวบรวมข้อมูลลูกค้าทุกรายอย่างครบถ้วนและถูกต้องพร้อมกันในที่เก็บข้อมูลที่แตกต่างกัน ซึ่งอาจเจอความไม่สอดคล้องกันของระบบต่าง ๆ เนื่องจากไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ทำงานร่วมกันตั้งแต่แรกนอกจากนี้ยังมีคุณภาพของการเก็บข้อมูลในบางระบบที่อาจไม่เท่าเทียมกันเสมอ ตัวอย่างเช่น ข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าอาจถูกจัดเก็บไว้ใน CRM เช่น Salesforce ข้อมูลประวัติการสั่งซื้ออาจอยู่ในระบบดั้งเดิมที่กำหนดเองข้อมูลการซื้อของพวกเขาอาจอยู่ในระบบ POS เช่น Shopify และข้อมูลโซเชียลมีเดียของพวกเขาอาจอยู่บน Facebook อินสตาแกรม ทวิตเตอร์ และอื่นๆ

สรุป

Customer 360 คือการรวบรวมและรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับลูกค้าจากแหล่งต่าง ๆ เพื่อสร้างภาพรวมครบถ้วนเกี่ยวกับลูกค้าแต่ละรายในองค์กร การทำ Customer 360 ช่วยให้องค์กรสามารถทราบข้อมูลลูกค้าอย่างเต็มรูปแบบ รวมถึงประวัติการซื้อสินค้าหรือบริการ ประวัติการติดต่อ และข้อมูลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับลูกค้า การรวบรวมข้อมูลเหล่านี้เป็นระบบเรียลไทม์จะช่วยให้องค์กรมีมุมมองที่รวดเร็วและชัดเจนเกี่ยวกับลูกค้าแต่ละราย ซึ่งจะช่วยให้สามารถวิเคราะห์และตัดสินใจเกี่ยวกับลูกค้าได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริการลูกค้าและสร้างประสบการณ์ลูกค้าที่ดีขึ้นภายในองค์กร

Get on the path to faster sales! 
Watch a guided tour or try free trial now!

มาร่วมทดลอง Salesforce CRM #1 กันเถอะ

ทดลองฟรี
CRM
บทความ

ระบบ CRM สามารถเพิ่มความภักดีของลูกค้าได้อย่างไร

มีสถิติที่ถูกเผยแพร่และผู้ชี่ยวชาญส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่าในปัจจุบันธุรกิจนั้นเน้นไปที่การหาลูกค้าใหม่มากกว่าการรักษาลูกค้าเก่าที่มีอยู่ขอยกตัวอย่างเช่น โปรโมชั่นโทรศัพท์มือถือในปัจจุบันที่มีการแข่งกันหลายค่ายก็จะเน้นไปที่การหาลูกค้าใหม่ย้ายค่ายแต่กับไม่มีโปรให้กับลูกค้าเก่า ดังนั้นระบบ CRM จึงเป็นคำตอบที่จะเข้ามาช่วยในการรักษาลูกค้าเก่าให้กับองค์กรต่างๆ

ระบบ CRM จะทำให้บริษัทได้รับประโยชน์หลายอย่าง

1.ส่วนแบ่งกระเป๋าเงินที่เพิ่มขึ้นหรือที่เรียกกันว่า (Share-of-wallet) หมายถึงจำนวนเงินที่ลูกค้าใช้จ่ายกับแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่งเมื่อเทียบกับการใช้จ่ายกับคู่แข่งแบรนด์นั้น ลูกค้าจะเปลี่ยนใจและใช้เวลาและเงินมากขึ้นกับแบรนด์ที่ลูกค้ามี Loyalty

2.การตลาดแบบปากต่อปากช่วยให้ได้ลูกค้าใหม่และรักษา Loyalty ดีขึ้น อย่างที่ได้บอกไปในข้อหนึ่งว่าลูกค้าจะเปลี่ยนใจและใช้เวลาและเงินมากขึ้นกับแบรนด์ที่ลูกค้ามี Loyalty มากไปกว่านั้นลูกค้าที่ Loyalty ยังสามารถบอกต่อเพื่อนๆและเพื่อนร่วมงานเกี่ยวกับแบรนด์หรือบริการที่ใช้

3.เพิ่มความน่าเชื่อถือ ความภักดีของลูกค้ายังช่วยส่งเสริมความรู้สึกไว้วางใจระหว่างแบรนด์และลูกค้า เมื่อลูกค้าเลือกที่จะกลับมาซื้อสินค้าหรือใช้บริการของคุณบ่อยๆ ดังนั้นจึงส่งผลให้คนนอกที่มองเข้ามานั้นมีความรู้สึกที่จะอยากซื้อ เพราะคนที่มองเข้ามาจะเห็นได้ว่าไม่ว่าลูกค้าเก่าจะใช้สินค้าหรือบริการเท่าไหร่ก็จะกลับมาซื้อและใช้บริการกับเราเสมอ

4.ช่วยเพิ่มการกระตุ้นการอยากซื้อแม้ลูกค้าจะไม่ได้ต้องการสินค้าตัวนั้น ยกตัวอย่างเช่น ลูกค้าซื้อสินค้ากับเราไปแล้ว 3 ชิ้นและกว่าสินค้าตัวนั้นจะใช้หมดลูกค้าอาจจะต้องใช้เวลา 2-3 เดือนแต่ในทางกลับกันเราจะใช้ระบบ CRM ยิงการตลาดไปหาลูกค้าเพื่อกระตุ้นการซื้อแม้ลูกค้าไม่อยากซื้อ อาจมีของแถมหรือซื้อตอนนี้ถูกกว่าลูกค้าซื้อแบบปกติ

5.การตัดสินใจซื้อของลูกค้าเก่ามีมากกว่าลูกค้าใหม่ เนื่องจากลูกค้าเก่าจะเคยใช้บริการหรือสินค้าเรามาแล้วดังนั้นโอกาสทำกำไรจากลูกค้าเก่าจึงมีมากกว่าลูกค้าใหม่ ดังนั้นการคิดโปรโมชั่นต่างๆหรือ Loyalty โปรแกรมที่ดีนั้นควรให้เป็นโปรโมชั่นที่แฟร์กับลูกค้าเก่าพอๆกับการที่เราจะเสนอให้ลูกค้าใหม่

สรุป

ระบบ CRM ช่วยนักการตลาดและฝ่ายขายในการปรับปรุงกระบวนการขายของธุรกิจ การทำงานของทีมขายให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น หากพบว่ายอดขายลดลงหรือมียอดที่จะหลุดไปก็สามารถไปกระตุ้นทีมขายได้อย่างรวดเร็วเพื่อช่วยในการหาแนวทางในการแก้ไขปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ และเพิ่มโอกาสในการปิดการขายได้มากขึ้น และเมื่อปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะในขั้นตอนใดของการขายได้รับการแก้ไขฟรือมีแนวทางรับมือที่ถูกต้อง ก็จะทำให้ทีมขายสามารถทำงานได้อย่างราบรื่น ปิดการขายได้อย่างสม่ำเสมอ สร้างรายได้ให้ธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง มากไปกว่านั้นยังช่วยให้รักษาลูกค้าเก่าและเพิ่มการซื้อที่มากขึ้นได้เหมือนที่บอกไปใน 5 ข้อด้านบน

Get on the path to faster sales! 
Watch a guided tour or try free trial now!

มาร่วมทดลอง Salesforce CRM #1 กันเถอะ

ทดลองฟรี
5 เหตุผลที่คุณควรใช้ Salesforce
บทความ

5 เหตุผลที่คุณควรต้องใช้ Salesforce

วันนี้เราจะพาทุกคนมาดู 5 เหตุผลหรือประโยชน์จากการใช้ Salesforce เข้ามาช่วยดำเนินงานในธุรกิจกัน! แต่ก่อนอื่นถ้าผู้อ่านคนไหนยังไม่รู้จัก Salesforce แล้วหละก็สามารถคลิ๊กดูได้ที่ “Salesforce คืออะไร ” ซึ่งเป็นบทความที่ทางเราได้เขียนอธิบายไว้เกี่ยวกับตัว Salesforce ว่าคืออะไรและมีหน้าที่อะไรบ้าง

ถ้าพร้อมแล้วเรามาดู 5 เหตุผลหรือประโยชน์จากการใช้ Salesforce กันเลย

why choose salesforce for business

rolustech.com

1.Salesforce สามารถใช้งานบนมือถือได้

โดย Salesforce เป็นบริษัทแรกเลยที่นำ CRM มาอยู่บนมือถือซึ่งสามารถใช้งานได้ไม่ต่างจากการใช้งานบนคอมพิวเตอร์ เช่น การเรียกใช้แคมเปญการทำตลาดผ่านโทรศัพท์มือถือแบบข้ามหลายช่องทางด้วย Marketing Cloud และจัดการมุมมองทั้งหมดของการเดินทางของลูกค้าแบบให้ความสำคัญกับโทรศัทพ์มือถือเป็นหลัก สามารถทำแคมเปญโทรศัพท์มือถือผ่านระบบอัตโนมัติด้วย Journey Builder และจัดแบ่งกลุ่มผู้ชมเพื่อให้ส่งข้อความที่มีความเกี่ยวข้องสูงสุดด้วย Audience Builder

2.Salesforce เป็นระบบ Cloud base

ผลิตภัณฑ์ Salesforce ทั้งหมดจะใช้งานบนระบบคลาวด์ดังนั้นจึงไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายราคาสูงในการติดตั้ง ไม่ต้องดูแลรักษา และพนักงานของคุณสามารถทำงานจากอุปกรณ์ใดก็ได้ที่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต เช่น สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต หรือแล็ปท็อป

3.Salesforce ใช้งานง่าย

Salesforce ใช้งานง่ายพอๆกับเว็บไซต์ที่เราเข้าเยี่ยมชมกันอยู่ทุกๆวัน คุณสามารถเข้าสู่ระบบได้จากทุกที่ทำงานร่วมกับเพื่อนร่วมงานได้อย่างง่ายและดูและอัปเดตข้อมูลลูกค้าได้ทุกเมื่อที่คุณต้องการ และถ้าติดปัญหาตรงไหนหรือต้องการที่จะศึกษาเพิ่มเติมทาง Salesforce ก็ได้มี Community อีกด้วย

4.salesforce integration

แพลตฟอร์ม Salesforce มี open API ที่มีประสิทธิภาพเป็นอย่างมากซึ่งทำให้การรวม Salesforce กับซอฟแวร์อื่นๆที่ลูกค้ามีการใช้งานอยู่สามารถที่จะทำได้แทบทั้งหมด Salesforce integration เป็นกระบวนการของการรวมข้อมูลและฟังก์ชันการทำงานของ Salesforce กับแอปพลิเคชันอื่นๆเพื่อมอบประสบการณ์ที่รวมเป็นหนึ่งเดียวแก่ผู้ใช้ ช่วยให้คุณมีฟังชั่นที่ผสมผสานกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของทั้งสองแพลตฟอร์มให้กับทีมได้ ผู้ใช้ Salesforce มักจะประสบปัญหาในการปรับข้อมูลให้ตรงกันระหว่างสองแพลตฟอร์มและการสลับไปมาระหว่างกันในขณะที่ทำงาน

5.Salesforce มี Community

อย่างที่ได้บอกไปในข้อ 3 ว่า Salesforce นั้นมี Community ที่ใหญ่โตมากเป็นของตนเองซึ่งจะมีทั้งผู้ใช้งานเอง (User) และ เจ้าหน้าที่ของ Salesforce เองเป็นคนตอบคำถามต่างๆหรือพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้ด้านเทคโนโลยีอย่างเช่น Dev ก็จะมีการเปิด Forum เพื่อพูดคุยสอบถามปัญหากัน

 

ทิ้งท้าย

นับตั้งแต่เปิดตัว Salesforce ได้ช่วยให้ธุรกิจจำนวนมากสามารถจัดการลูกค้าได้ดีขึ้นและช่วยให้ธุรกิจเติบโต หากคุณกำลังมองหา CRM ที่ดีที่สุดสำหรับธุรกิจ Salesforce คือคำตอบ

Get on the path to faster sales! 
Watch a guided tour or try free trial now!

มาร่วมทดลอง Salesforce CRM #1 กันเถอะ

ทดลองฟรี
Salesforce Omnichannel
บทความ

Salesforce OmniChannel ช่วยให้ประสบการณ์ของลูกค้าดียิ่งขึ้น

ในปัจจุบันไม่ว่าจะขายสินค้าหรือบริการประเภทไหนก็ตามจะต้องสร้าง Loyalty ของลูกค้าที่มีต่อแบรนด์เพื่อให้ลูกค้ายังคงอยู่กับเราไม่เสียลูกค้าไปให้กับคู่แข่ง การจัดการหลายช่องทางอาจกลายเป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณใช้หลายแพลตฟอร์มเพื่อสื่อสารกับลูกค้า นอกจากนี้ยังกลายเป็นเรื่องยากถ้าเราต้องการที่จะติดตามพฤติกรรมของลูกค้าจากหลากหลายช่องทางเพื่อนำมาทำแผนการตลาดดังนั้น Salesforce Omnichannel จึงตอบโจทย์ในเรื่องของการช่วยให้ประสบการณ์ของลูกค้าดียิ่งขึ้น

4 ข้อดีของ Salesforce Omnichannel

1. ช่วยบาลานซ์งานของเจ้าหน้าที่

Salesforce Omnichannel สามารถกำหนดสิ่งที่เรียกว่า Tickets ให้กับเอเจนท์แต่ละรายโดยอัตโนมัติโดยที่ตัวระบบนั้นจะสามารถช่วยดูได้ว่าเอเจนท์แต่ละรายนั้นมีงานอยู่ในมือเยอะแค่ไหนซึ่งตรงนี้เองระบบจะเข้ามาช่วยบาลานซ์งานให้กับเจ้าหน้าที่ให้ไม่เกิดงานที่หนักเกินไปและสามารถช่วยบันทึกสิ่งต่างๆที่ที่เอเจนท์ได้มีการพูดคุยกับลูกค้า

2. ช่วยให้เห็นมุมของของลูกค้าทั้งหมด

ประสบการณ์ของลูกค้าที่ประกอบด้วยการสื่อสารหลากหลายช่องทางทั้งหมดเรียกว่า Omnichannel เอเจนท์สามารถเข้าถึงทุกเว็บไซต์หรือ Touchpoints ต่างๆในร้านค้าที่ลูกค้าเยี่ยมชมด้วยระบบ Salesforce Omnichannel และเวลาที่เอเจนท์กำลังให้บริการลูกค้าอยู่นั้นตัวของผู้ให้บริการจะสามารถเห็นมุมมองที่ครอบคลุมเกี่ยวกับโปรไฟล์ของลูกค้าได้ทั้งหมดว่าลูกค้ามี Touchpoints เข้ามาจากช่องทางใดบ้าง

3. เพิ่ม CLV

Salesforce Omnichannel ประสบการณ์การให้บริการแบบ Omnichannel ให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นอันดับแรกและไม่น่าแปลกใจเลยที่ลูกค้าต้องการอยู่กับธุรกิจที่ให้บริการแบบประทับใจและรู้ใจ ยิ่งไปกว่านั้นร้านค้าชั้นนำค้าปลีกมองว่าเป้าหมายระยะยาวมีความสำคัญอย่างยิ่ง รายงาน Coresight แสดงให้เห็นว่า 53% ของผู้ค้าปลีกชั้นนำในยุโรประบุว่าการเพิ่ม CLV ของลูกค้า มาจากการใช้ใช้กลยุทธ์แบบOmnichannel ขณะที่ผู้ค้าปลีกรายอื่นเพียง 34% รู้สึกเช่นเดียวกัน

4. ช่วยเพิ่มยอดขาย

Salesforce Omnichannel ช่วยให้ยอดขายที่เพิ่มขึ้น การศึกษาของ Harvard Business Review แสดงให้เห็นว่าลูกค้าหลายช่องทางใช้จ่ายออนไลน์มากกว่าผู้บริโภคช่องทางเดียวถึง 10% เป็นที่ชัดเจนว่าผู้ค้าปลีกให้ความสำคัญกับการเติบโตในระยะยาวและกำลังมองประโยชน์ของกลยุทธ์แบบ Omnichannel ให้ใช้เป็นกลยุทธ์หลักในการดำเนินธุรกิจในปัจจุบัน

 

Get on the path to faster sales! 
Watch a guided tour or try free trial now!

มาร่วมทดลอง Salesforce CRM #1 กันเถอะ

ทดลองฟรี
CDP (Customer data platform)
บทความ

วิวัฒนาการของ CDP (Customer Data Platform)

วันนี้เราจะมาพูดถึงวิวัฒนาการของ CDP

ในยุคดิจิทัลปัจจุบันธุรกิจต่างต้องเผชิญกับข้อมูลลูกค้าจำนวนมหาศาลความท้าทายเลยอยู่ที่การจัดการ วิเคราะห์ และใช้ข้อมูลให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้า (Customer Satisfaction) เพิ่มประสิทธิภาพ และผลักดันการเติบโตของธุรกิจจึงเกิดการพัฒนาของแพลตฟอร์มข้อมูลลูกค้าที่เรียกกันว่า CDP

เกริ่นนำ

CDP คือระบบซอฟต์แวร์ที่รวบรวมและจัดการข้อมูลของลูกค้าที่เข้ามาจากหลายแหล่งหลายช่องทาง (Customer Touchpoints) เช่น เว็บไซต์ แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย แอปบนมือถือ และแบบออฟไลน์ ช่วยให้ธุรกิจสามารถสร้างโปรไฟล์ลูกค้าและรวบรวมใช้ข้อมูลเพื่อปรับแต่งการสื่อสารกับลูกค้าผ่านช่องทางต่างๆ รวมถึงแคมเปญทางการตลาดที่จะส่งออกไปหาลูกค้าด้วย

CDP ในช่วงแรก

แนวคิดของการจัดการข้อมูลลูกค้าไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ CDP รุ่นแรกเกิดขึ้นในช่วงต้นปี 2010 CDP โดยถูกพัฒนาให้มุ่งเน้นไปที่การรวบรวมข้อมูลเป็นหลัก โดยไม่สามารถที่จะใช้แดชบอร์ดในการวิเคราะห์และเปิดใช้งานข้อมูลแบบเรียลไทม์ได้ ผลที่ตามมาคือกว่าจะนำข้อมูลที่ได้เก็บรวบรวมมาวิเคราะห์ก็อาจจะทำให้เทรนของผู้บริโภคเปลี่ยนไปแล้ว

การเกิดขึ้นของ CDP รุ่นที่สอง

เมื่อความต้องการการที่จะใช้ข้อมูลเพื่อเรียกดูแบบแดชบอร์ดและการเปิดใช้งานข้อมูลแบบเรียลไทม์เพิ่มขึ้น CDP รุ่นที่สองก็ถือกำเนิดขึ้นในช่วงกลางปี 2010 CDP รุ่นที่สองมีคุณสมบัติขั้นสูงมากขึ้น เช่น ความสามารถในการแบ่งกลุ่มข้อมูลลูกค้า(Segmentation) สร้างแบบจำลองเพื่อใช้ในการ Forecast และสามารถทำการตลาดแบบส่วนบุคคล(Personalization) ได้แบบเรียลไทม์ CDP รุ่นที่สองยังรวมช่องทางข้อมูลออฟไลน์เข้ามาเก็บรวบรวมอีกด้วย

CDP รุ่นที่สาม

ด้วยความคาดหวังที่เปลี่ยนไปของลูกค้าและความพร้อมใช้งานของเทคโนโลยีใหม่ๆของผู้บริโภค CDP รุ่นที่สามจึงเกิดขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา CDP รุ่นใหม่ๆถูกออกแบบมาเพื่อจัดการข้อมูลจำนวนมหาศาลที่สร้างโดยลูกค้าที่ประกอบไปด้วยช่องทางการเข้ามาที่หลากหลาย (Tochpoints) และใช้ AI เพื่อการเรียนรู้เพื่อนำเสนอข้อมูลเชิงลึกและคำแนะนำเกี่ยวกับลูกค้าคนนั้นๆ

อนาคตของ CDP

เมื่อ AI และแมชชีนเลิร์นนิงก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง CDP ก็จะมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น CDP จะช่วยให้สามารถคาดการณ์พฤติกรรมและความชอบของลูกค้าได้แม่นยำยิ่งขึ้น และจะสามารถทำงานด้านการตลาดและการบริการลูกค้าจำนวนมากได้โดยอัตโนมัติ (Automation) นอกจากนี้ CDP ยังสามารถรวมเข้ากับเทคโนโลยีอื่นๆได้ เช่น Marketing automation tools เพื่อมอบประสบการณ์ที่ราบรื่นให้กับลูกค้าในทุกช่องทาง

ตัวอย่างการใช้ CDP ในสถานการณ์จริง

CDP ถูกใช้ในสถานการณ์จริงที่หลากหลาย ตั้งแต่อีคอมเมิร์ซไปจนถึง Healthcare นี่คือตัวอย่างบางส่วน

E-commerce: ผู้ค้าปลีกออนไลน์ใช้ CDP เพื่อรวบรวมข้อมูลลูกค้าจากเว็บไซต์ ช่องทางโซเชียลมีเดีย และแคมเปญการตลาดผ่านอีเมลจากข้อมูลที่ได้เก็บรวบรวมมา E-commerce สามารถสร้างแคมเปญอีเมลที่ตรงกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้นซึ่งปรับให้เป็นแบบส่วนตัว(Personalized) ตามพฤติกรรมการเข้าดูสินค้าและการซื้อสินค้า

Healthcare: ผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพใช้ CDP เพื่อจัดการข้อมูลผู้ป่วยใน Touchpoints ต่างๆ เช่น กำหนดการนัดหมาย เวชระเบียน การเรียกดูประวัติผู้ป่วยได้จากทั้งช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ และการเรียกเก็บเงิน

Get on the path to faster sales! 
Watch a guided tour or try free trial now!

มาร่วมทดลอง Salesforce CRM #1 กันเถอะ

ทดลองฟรี
CRM VS CDP
บทความ

CRM กับ CDP ต่างกันอย่างไรและควรเลือกใช้อันไหน? (2023)

วันนี้เราจะพาทุกคนมาดูขัอแตกต่างระหว่าง CRM (Customer relationship management) กับ CDP (Customer data platform) ว่าทั้งสองตัวนี้แตกต่างกันอย่างไรและแบบไหนที่ใช่สำหรับองค์กรหรือบริษัทของเรา

CRM และ CDP ทั้งสองแพลตฟอร์มถูกสร้างขึ้นมาเพื่อจัดการกับข้อมูลลูกค้าทั้งคู่

CRM เป็นระบบซอฟต์แวร์ที่ออกแบบมาเพื่อจัดการสื่อสารระหว่างบริษัทกับลูกค้าและผู้มีโอกาสเป็นลูกค้า มุ่งเน้นกิจกรรมด้านการขาย การตลาด และการบริการลูกค้า CRM เปรียบเสมือนบ้านสำหรับข้อมูลลูกค้าทั้งหมด ครอบคลุม Customer Journey ลูกค้าตั้งแต่เริ่มต้นให้ความสนใจ จนกระทั่งกลายเป็นลูกค้าและให้บริการหลังการขาย หลักๆมักจะถูกใช้ต่อยอดและส่งเสริมหลังการขาย

ในทางกลับกัน CDP จะทำหน้าที่เป็นเหมือนถังเก็บข้อมูลที่คอยรวบรวมข้อมูลลูกค้าจากหลายแหล่งเข้าด้วยกันและสร้างข้อมูลที่ได้รวบรวมมานั้นให้เป็นมุมมองแบบ 360 ของลูกค้าแต่ละรายบุคคล CDP นั้นสามารถรับข้อมูลแบบเชิงรับมากกว่า(passive way of acquiring data) เนื่องจาก CDP นั้นใช้เพื่อเก็บข้อมูลจากการที่ลูกค้าเข้ามาเองและดูการมีส่วนร่วมของลูกค้าในช่องทางต่างๆของเรา เช่น เว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย หรือ อีเมล์

ต่อไปเรามาเจาะลึกแต่ละตัวกันดีกว่า

เริ่มกันที่ CRM

CRM คือที่ที่ทีมการตลาด การขาย และทีมซัพพอร์ตจะคอยป้อนข้อมูลเกี่ยวกับการสื่อสารกับลูกค้า ซึ่งรวมถึงบันทึกจากการโทร การแชทกับลูกค้า การให้บริการหลังการขายหน้าร้านหรือออนไลน์และคะแนนการสำรวจความพึงพอใจของลูกค้า CRM เป็นแหล่งที่ได้เก็บรวบรวมข้อมูลเชิงลึกทั้งหมดเกี่ยวกับลูกค้า ซึ่งจะช่วยให้ทุกคนรับข้อมูลแบบเดียวกันไม่ว่าจะอยู่ทีมไหนในบริษัทและสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าเพื่อให้เกิดความพึงพอใจมากที่สุด

อย่างที่ได้บอกไปข้างบนว่า CRM นั้นหลักๆจะถูกใช้งานเพื่อต่อยอดและส่งเสริมหลังการขาย เช่น การใช้ CRM ทำ Loyalty โปรแกรมเพื่อสะสมแต้มสมาชิกตัวอย่างที่เห็นอย่างได้ชัดก็คือ สถานีบริการน้ำมันต่างๆที่เวลาเราไปเติมจะมีบัตรสะสมแต้มให้เราสมัครฟรีและคอยส่งข่าวมาที่อีเมล์หรือหาเราที่บ้านเวลามีโปรโมชั่นต่างๆ (แต่ต้องเป็นสมาชิกที่สมัคร)

CDP

ส่วน CDP นั้นถูกออกแบบมาเพื่อรวบรวมข้อมูลจากทุกช่องทางให้มาอยู่ในที่ที่เดียวไม่ว่าลูกค้าจะเข้ามาจากช่องทางไหนก็ตามข้อมูลก็จะถูกอัพเดทโดยอัตโนมัติอีกด้วยเช่น ลูกค้าคนคนเดียวกันได้มีการพูดคุยสอบถามผ่าน Facebook ต่อมาเขาไปคุยกับเราบน Website และต่อมาอาจจะมาคุยกับเราผ่าน Line ตัวระบบ CDP นั้นก็จะทำการเก็บรวบรวมข้อมูลทั้งหมดและข้อมูลเหล่านั้นจะถูกดำเนินการรวมโดยอัตโนมัติว่าเขาคนนั้นคือลูกค้าคนคนเดียวกันกับที่คุยกับเราผ่านทั้งสามช่องทางโดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลยตัวข้อมูลจะถูก Merge เองโดยอัตโนมัติ

แบบไหนที่เหมาะกับเรา ?

ก็คงต้องถามตัวเราเองว่าเราต้องการอะไรระหว่างการเก็บรวบรวมข้อมูลลูกค้าจากทุกช่องทางให้มาอยู่ในที่ที่เดียวกับการที่เราต้องการซอฟแวร์สักอย่างหนึ่งที่จะมาช่วยให้เราให้บริการหลังการขายกับลูกค้ามีการ Upsell และมีการยิง Marketing Automation ออกไปหาลูกค้าเพื่อให้เกิดการ

 

Get on the path to faster sales! 
Watch a guided tour or try free trial now!

มาร่วมทดลอง Salesforce CRM #1 กันเถอะ

ทดลองฟรี
บทความ

5 ข้อดีของการมี Salesforce เพื่อทีมการตลาดของบริษัทคุณ

การตลาดเป็นหนึ่งในองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จทีมการตลาดจะมีหน้าที่สร้างความสนใจให้กับแบรนด์และผลิตภัณฑ์และเปลี่ยนผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าให้เป็นลูกค้าจริงๆได้

การเพิ่มศักยภาพให้กับทีมการตลาดของคุณด้วยเครื่องมือและตัวช่วยที่เหมาะสมจะช่วยให้ธุรกิจบรรลุเป้าหมายด้านการตลาด การขาย และเพิ่มรายได้ เช่น การมีส่วนร่วมของลูกค้าที่ดีขึ้น การใช้จ่ายงบประมาณด้านการตลาดอย่างมีประสิทธิภาพลดต้นทุนที่ไม่จำเป็น Salesforce Sales Cloud เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ทีมการตลาดของคุณควรจะใช้งาน Salesforce Sales Cloud เป็นโซลูชัน CRM ที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับ 1 ของโลก

โดย Sales Cloud จะนำข้อมูลลูกค้าทั้งหมดมารวมกันในแพลตฟอร์มที่รวมถึงการบริการลูกค้า การสร้างโอกาสในการขาย การตลาด การขาย และการวิเคราะห์ธุรกิจ นอกจากนี้ยังช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงแอปพลิเคชันเพิ่มเติมบนแพลตฟอร์ม AppExchange เพื่อช่วยปรับปรุงการดำเนินงานด้านการขาย การตลาด และการบริการลูกค้า

ปรับปรุงความสัมพันธ์กับลูกค้า (CRM)

Salesforce CRM เป็นเครื่องมือการจัดการลูกค้าสัมพันธ์ที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับแต่งตามความต้องการเฉพาะของลูกค้าแต่ละรายได้ (Personalization) และยังช่วยให้ธุรกิจสามารถรวมข้อมูลลูกค้าทั้งหมดไว้ในที่เดียวโดยการรวมหลายองค์ประกอบเข้าด้วยกัน เช่น การสร้างโอกาสในการขาย การบริการลูกค้า การขาย และการตลาด

Sales Cloud ยังมาพร้อมกับการจัดการบัญชีและการติดต่อที่ให้ข้อมูลเชิงลึกแก่ทีมการตลาดและการขายเกี่ยวกับลูกค้า ตัวอย่างเช่น ให้ข้อมูลเกี่ยวกับ Conversion ก่อนหน้านี้ที่ทีมการตลาดและการขายมีกับลูกค้าตั้งแต่การติดต่อครั้งแรก

Salesforce Sales Cloud จะทำหน้าที่เก็บข้อมูลทั้งหมดของลูกค้าไว้ในที่ที่เดียวทำให้ทีมการตลาดของคุณสามารถปรับแต่ง Customer journey ให้สอดคล้องกับความต้องการเฉพาะของลูกค้าได้ง่ายขึ้น ทีมของคุณยังสามารถเข้าถึงเครื่องมืออัตโนมัติ (Automation) สามารถใช้เพื่อลดความซับซ้อนของงานที่ทำซ้ำๆได้

Salesforce Sales Cloud ยังสามารถแสดงข้อมูลลูกค้าทั้งหมดบนแดชบอร์ด ทำให้กระบวนการสำหรับทีมขายและการตลาดง่ายขึ้น ซึ่งส่งผลให้นักการตลาดสามารถเข้าใจความต้องการของลูกค้าได้ดีขึ้นเนื่องจากปัจจุบัน ลูกค้าต้องการประสบการณ์ที่รวดเร็วและเป็นส่วนตัวมากขึ้นจากแบรนด์ที่ลูกค้ามีการติดต่อสื่อสารหรือสอบถามปัญหา ผ่าน CRM

CRM ยังช่วยให้ทีมการตลาดติดตาม Feedback ของลูกค้าที่มีต่อผลิตภัณฑ์และบริการของคุณได้ ด้วยข้อมูลนี้คุณสามารถปรับปรุงผลิตภัณฑ์และการบริการของคุณ และเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาให้กับลูกค้าของคุณได้ดียิ่งขึ้น

5 ข้อดีของการมี Salesforce เพื่อทีมการตลาด

1. เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
ระบบ Automation จะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางของอีคอมเมิร์ซลูกค้าสามารถสั่งซื้อทางออนไลน์ได้ง่ายมากยิ่งขึ้น ทำให้พนักงานสามารถไปทำงานในส่วนอื่นได้มากยิ่งขึ้น เช่นการปรับปรุงประสบการณ์การบริการลูกค้า Salesforce B2B Commerce

2. ลูกค้ามากขึ้น
สิ่งสำคัญสำหรับธุรกิจคือการตามให้ทันเทรนด์และการช้อปปิ้งออนไลน์ก็เป็นวิธีที่นักช้อปนิยมกันในทุกวันนี้ อย่างที่บอกไปว่าตัว Salesforce มีทั้งระบบ Marketing automation และระบบที่จะวิเคราะห์ Personalization เพื่อทำให้การตลาดที่ยิงออกไปนั้นตรงจุดและมีประสิทธิภาพเข้าถึงลูกค้าได้ถูกกลุ่มเป้าหมาย

3. ปรับปรุงการรับรู้แบรนด์
แม้ว่าผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณจะไปลูกค้าคนเดิมๆ แต่คุณก็ได้เพิ่มการมองเห็นแบรนด์ของคุณหากลูกค้าไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับธุรกิจหรือสินค้าของคุณมาก่อน พวกเขาก็จะรู้จักหลังจากเรียกดูไซต์ของคุณแล้ว ความสามารถในการควบคุมภาพลักษณ์ของแบรนด์ของคุณทางออนไลน์จะช่วยให้คุณเติบโตและส่งเสริมแบรนด์ของคุณทั้งในประเทศและต่างประเทศ

4. เพิ่มยอดขาย
ลูกค้าใหม่ย่อมหมายถึงรายได้ที่มากขึ้น! ไม่เพียงเท่านั้น ตอนนี้คุณสามารถใช้ประโยชน์จากเครื่องมือแนะนำการขายต่อเนื่องและการขายเพิ่มอัตโนมัติที่ Salesforce มอบให้ ด้วยสิ่งนี้ คุณสามารถแสดงผลิตภัณฑ์ให้กับลูกค้าที่พวกเขามีแนวโน้มที่จะซื้อตามข้อมูลของพวกเขา ซึ่งนำไปสู่การเติบโตที่มากขึ้น!

5. ความสามารถในการวิเคราะห์
เมื่อขายผลิตภัณฑ์ของคุณผ่าน Salesforce B2B Commerce คุณจะสามารถเข้าถึงเครื่องมือวิเคราะห์ที่ดีที่สุดในตลาด สิ่งนี้จะช่วยให้คุณวัดผลแคมเปญการตลาด ยอดขาย สินค้าคงคลัง การมีส่วนร่วมของลูกค้า และอื่นๆ อีกมากมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ! จากนั้นคุณสามารถใช้จุดข้อมูลเหล่านี้เพื่อสร้างข้อมูลเชิงลึกที่นำไปปฏิบัติได้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพออนไลน์ของคุณ

สรุป

การตลาดยังคงเป็นส่วนสำคัญอย่างมากต่อธุรกิจ การเพิ่มศักยภาพให้กับทีมการตลาดของคุณรวมถึงการจัดเตรียมเครื่องมือและระบบที่เหมาะสมเพื่อช่วยให้นักการตลาดทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น Salesforce Sales Cloud เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่สนับสนุนทีมการตลาดได้เป็นอย่างดี ช่วยให้ทำงานร่วมกันได้ดีขึ้น เข้าถึงข้อมูลแบบเรียลไทม์ และจัดการลูกค้าสัมพันธ์ได้ดีขึ้น

Get on the path to faster sales! 
Watch a guided tour or try free trial now!

มาร่วมทดลอง Salesforce CRM #1 กันเถอะ

ทดลองฟรี
1 2 3 4 5

ร่วมทดลอง CRM #1 ของโลกฟรี 30 วัน

Get a Quote

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรังปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ

Save