Articles Tagged with

CRM

Segmentation
บทความ

ประโยชน์ของการใช้ CRM เพื่อแบ่งกลุ่มลูกค้า

การแบ่งกลุ่มลูกค้าคืออะไร? (Segmentation)

แน่นอนว่าธุรกิจต่างๆต้องมีลูกค้าที่มีความต้องการเหมือนกันและลูกค้าที่มีความชอบที่แตกต่างกันหรือมาจากสถานที่ที่หลากหลายและกลุ่มอายุต่างกัน ความคาดหวังของลูกค้าในแง่ของผลิตภัณฑ์และการให้บริการก็จะมีความแตกต่างกันออกไป

กุญแจสำคัญในการตอบสนองความต้องการของลูกค้ากลุ่มต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพก็คือการเข้าใจความต้องการในทุกส่วนของธุรกิจให้อย่างชัดเจน เช่น ผลิตภัณฑ์ การสื่อสาร บริการ และอื่นๆ ด้วยเหตุนี้จะช่วยให้ธุรกิจสามารถตอบสนองความคาดหวังของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพในทุกวิถีทางที่เป็นไปได้และพัฒนาความสัมพันธ์เพื่อสร้างการซื้อซ้ำหรือบอกต่อในอนาคต

การแบ่งกลุ่มลูกค้า (Segmentation) เป็นกระบวนการจัดระเบียบรายชื่อลูกค้าเป็นกลุ่มต่างๆ ตามความสนใจร่วมกันและเกณฑ์เฉพาะ เช่น เพศ อายุ สถานที่ ฯลฯ

การแบ่งกลุ่มลูกค้าช่วยให้ธุรกิจและนักการตลาดมีโอกาสปรับแต่งการสื่อสารตามกลุ่มลูกค้าเฉพาะเพื่อการทำข้อความหรือแคมเปญแบบ Personalization และความต้องการหรือความคาดหวังเฉพาะการแบ่งกลุ่มจะช่วยให้สามารถระบุความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่มได้ง่ายขึ้นและในที่สุดก็จะกระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น

การแบ่งกลุ่มลูกค้าทำได้โดยพิจารณาจาก 2 ปัจจัย คือ

1.ความคาดหวัง: อาจเป็นความคาดหวังในแง่ของผลิตภัณฑ์หรือการบริการคนกลุ่มนี้จะพึงพอใจหากความต้องการของเขาได้รับความช่วยเหลือจากสินค้าหรือบริการของเรา

2.พฤติกรรม: ขอยกตัวอย่างจากพฤติกรรมของลูกค้า เช่น รูปแบบการซื้อ (Customer journey เช่นลูกค้าชอบซื้อสินค้าผ่านทางแอปชอปปิ้งมากกว่าซื้อจากหน้าเว็บโดยตรง) ปฏิกิริยาต่อการสื่อสารทางการตลาดและอื่นๆ จึงจำเป็นต้องระบุและจัดการกับทุกพฤติกรรมของกลุ่มลูกค้าของคุณผ่านการแบ่งส่วนที่เหมาะสมและการสื่อสารการตลาดที่ตรงเป้าหมาย

ทำไมต้อง Segmentation? (แบ่งกลุ่มลูกค้า)

เมื่อต้องการให้แคมเปญการตลาดประสบความสำเร็จเราจะต้องเข้าถึงคนที่ใช่ในเวลาที่เหมาะสมเพื่อให้เกิดกระบวนการกระตุ้นการตัดสินใจซื้อ
การเข้าถึงคนที่ใช่ในเวลาที่เหมาะสมคือหัวใจหลักในการแบ่งกลุ่มลูกค้า นักการตลาดต้องทำความเข้าใจกลุ่ม audience ต่างๆและความต้องการอย่างแท้จริงการแบ่งกลุ่มลูกค้าจึงจะสามารถช่วยให้ธุรกิจบรรลุผลได้มากกว่าแค่การตอบสนองต่อความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของลูกค้า

1. ด้วยความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับฐานลูกค้าที่หลากหลายของคุณ ธุรกิจต่างๆ สามารถปรับผลิตภัณฑ์หรือบริการให้ตรงตามความต้องการเฉพาะของกลุ่มลูกค้าได้

2. ทำความเข้าใจกลุ่มลูกค้าเพื่อเพิ่ม Value ให้ได้มากที่สุดและเหตุใดลูกค้าจึงภักดีต่อแบรนด์ 

3. ลูกค้าทุกกลุ่มจะมีความชอบที่แตกต่างกันในการเลือกรับการสื่อสาร ด้วยการแบ่งกลุ่มลูกค้า เราสามารถที่จะสื่อสารด้วยสื่อเฉพาะที่ตามที่ลูกค้าต้องการสำหรับทุกเซกเมนต์ ตัวอย่างเช่น อีเมลที่ไม่ได้กำหนดเป้าหมายสร้าง CTR ต่ำกว่าแคมเปญที่กำหนดเป้าหมาย 50%

4.ตอบสนองความคาดหวังของทุกกลุ่มในแง่ของการบริการหลังการขายโดยเข้าใจความต้องการและข้อเสนอแนะจากลูกค้ากลุ่มต่างๆ

5. ปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้าและความภักดีต่อแบรนด์ผ่านเนื้อหาส่วนบุคคลแบบ Personalized

6. สำรวจและทดสอบผลิตภัณฑ์ บริการ และตัวเลือกราคาที่หลากหลายในกลุ่มต่างๆ

7. โอกาสสำหรับผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่เพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหรือความต้องการร่วมกันของลูกค้าหลายกลุ่ม

8. เมื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ การมีความรู้เกี่ยวกับฐานลูกค้าอยู่แล้วสามารถช่วยให้รวมคุณลักษณะที่เป็นที่ชื่นชอบมากที่สุดและมั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์จะได้รับการชื่นชมจากคอมมูนิตี้

ประโยชน์ของการแบ่งกลุ่มลูกค้า

เป้าหมายสูงสุดของแคมเปญการตลาดคือการเข้าถึงคนที่ใช่ในเวลาที่เหมาะสมด้วยข้อความที่เกี่ยวข้อง การแบ่งกลุ่มลูกค้าช่วยให้ทำแคมเปญด้านการตลาดได้ง่ายขึ้นและแม่นยำมากขึ้น

ตัวอย่างประโยชน์ของการแบ่งกลุ่มลูกค้า

  • การเพิ่มประสิทธิภาพด้านราคา (สามารถตั้งราคาได้แพงมากยิ่งขึ้น)

ยิ่งคุณรู้จักลูกค้าและความต้องการหรือความคาดหวังของลูกค้ามากเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งมีโอกาสมากขึ้นในการเพิ่มประสิทธิภาพผลิตภัณฑ์หรือบริการในแง่ของราคาและปัจจัยอื่นๆ 

เมื่อได้ราคาที่เหมาะสมสำหรับทั้งตัวเราและลูกค้าแล้วก็เท่ากับว่าเราได้บรรลุเป้าหมายแล้ว

  • การรับรู้ถึงแบรนด์

เมื่อคุณทราบรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับกลุ่มลูกค้าต่างๆ ของคุณแล้วคุณสามารถนำเสนอการปรับเปลี่ยนในแบบของคุณได้มากขึ้นในการสื่อสารของคุณผ่านแคมเปญการตลาดที่ตรงใจลูกค้ามากขึ้น

หากเราลองส่งข้อความที่ถูกต้องไปยังลูกค้าที่ถูกต้องลูกค้าจะชอบและจะมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับแบรนด์หรือบริษัทของเรา และสร้างภาพจำว่าแบรนด์นี้หรือบริษัทนี้ดูแลเราดีและสื่อสารแบบที่เราต้องการ ทำให้ในอนาคตมีโอกาสที่ลูกค้าจะกลับมาซื้อมากยิ่งขึ้น

  • ความสามารถในการแข่งขันที่ดีขึ้น

การทำความรู้จักกับลูกค้าของคุณโดยละเอียดจะช่วยเพิ่มการรักษาลูกค้าของคุณผ่านการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ ยิ่งรักษาลูกค้าได้มากเท่าไหร่รายได้ก็จะมากขึ้นเท่านั้น สิ่งนี้จะทำให้คุณได้เปรียบเหนือการแข่งขันและจะเป็นโอกาสสำหรับคุณที่จะทำให้เราก้าวนำคู่แข่ง

  • การรักษาลูกค้า

การแบ่งกลุ่มลูกค้าจะช่วยให้คุณสามารถสร้างความสัมพันธ์ส่วนบุคคลกับลูกค้าของคุณได้ดียิ่งขึ้น การทำเช่นนี้จะช่วยให้ลูกค้าของคุณมีความภักดี ลูกค้าส่วนใหญ่ของคุณมีแนวโน้มที่จะอยู่กับแบรนด์ของคุณเพื่อตอบสนองความต้องการ จึงทำให้คุณมีอัตราการซื้อซ้ำสูง (Loyalty)

  • ช่วยให้การใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

เมื่อคุณกำหนดเป้าหมายลูกค้าด้วยการสื่อสารทางการตลาดที่เหมาะสมมันจะทำให้การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นและช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายทางการตลาดได้มาก

 

Get on the path to faster sales! 
Watch a guided tour or try free trial now!

มาร่วมทดลอง Salesforce CRM #1 กันเถอะ

ทดลองฟรี
History of CRM
บทความ

ประวัติของ CRM และ วิวัฒนาการ

วันนี้เราจะพาดูทุกคนมาดูประวัติของและวิวัฒนาการของระบบที่ถูกเรียกว่า CRM บางคนที่พึ่งเคยได้ยินหรือรู้จักอาจจะเข้าใจว่า CRM นั้นพึ่งจะเกิดมาในช่วงยุคหลังจากที่มีคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตแต่อันที่จริงแล้ว CRM เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 1950s แต่ก่อนหน้านั้นมันแค่ไม่ได้ถูกเรียกว่า CRM

 

เรามาเริ่มกันที่ปี 1950

ประวัติของ CRM เริ่มต้นจากเครื่องที่มีชื่อเรียกว่า Rolodex โดยถูกคิดค้นในปี 1950 วัตถุประสงค์ของมันที่ถูกผลิตขึ้นมาก็เพื่อใช้จัดเก็บข้อมูลการติดต่อทางธุรกิจ เช่น ลูกค้าที่มาติดต่อกับเรา หรือ ดีลทางธุรกิจต่างๆ

ต่อมาในปี 1960

ก็มีการคิดค้นพัฒนาระบบที่เรียกว่าเมนเฟรม
ระบบเมนเฟรมเป็นระบบคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพซึ่งใช้ในการจัดเก็บและประมวลผลข้อมูล โดยเมนเฟรมถูกคิดค้นครั้งแรกขึ้นระหว่างทศวรรษที่ 1930 และ 1940 โดย Howard Eiken นักวิจัยจาก Harvard แต่ระบบเมนเฟรมก็มีให้บริการสำหรับธุรกิจในช่วงทศวรรษที่ 1960 เท่านั้น ถูกใช้งานโดยบริษัทที่เป็น Enterprise เกือบทั้งหมดในยุคนั้น ได้เปลี่ยนจากการใช้ Rolodex มาใช้คอมพิวเตอร์เมนเฟรมเพื่อแปลงข้อมูลลูกค้าให้เป็นดิจิทัล เช่น ชื่อ ที่อยู่ และรายละเอียดการติดต่อ

1980 จุดเริ่มต้นของการตลาดฐานข้อมูลและซอฟต์แวร์การจัดการติดต่อ

ในช่วงเริ่มต้นของทศวรรษ 1980 ธุรกิจและบริษัทต่าง ๆ ค้นพบวิธีที่จะใช้ประโยชน์จากข้อมูลของลูกค้าที่รวบรวมมาจาก database marketing โดยวิธีการเก็บ database ในสมัยนั้นก็คือการนำเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการแก่ลูกค้า โดยปกติจะทำผ่านไปรษณีย์โดยตรงซึ่งโบรชัวร์และแคตตาล็อกผลิตภัณฑ์จะถูกส่งไปยังลูกค้าโดยมีเป้าหมายเพื่อโน้มน้าวใจให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อ

ในช่วงหลังของทศวรรษ ธุรกิจต่างๆ เริ่มฝึกใช้กลยุทธ์เชิงรุกมากขึ้นในการขายโดยการโทรแบบ Direct sale ในช่วงเวลานี้คอมพิวเตอร์มีการให้บริการอย่างแพร่หลายมากขึ้นสำหรับธุรกิจ ซึ่งทำให้การจัดเก็บและจัดการข้อมูลลูกค้าในรูปแบบดิจิทัลเป็นไปได้ง่ายมากกว่าเดิม Rolodex จึงแทบไม่มีคนใช้

และในปี 1999 ก็เกิด CRM ที่เรียกว่า Salesforce ขึ้นมา

และปี 1999 นั้นเองก็ได้เกิด Salesforce และเริ่มมีนิยามของคำว่า Saas หรือ (Software-as-a-Service) โดยจุดเริ่มต้นของ Salesforce นั้นได้รับการออกแบบเพื่อส่งมอบซอฟต์แวร์ผ่านโมเดลใหม่ที่เรียกว่า Software-as-a-Service (SaaS) ในช่วงเวลาที่อินเทอร์เน็ตมีการใช้งานอย่างแพร่หลาย เป้าหมายของบริษัทคือการลดค่าใช้จ่ายล่วงหน้าและค่าบำรุงรักษาที่มีราคาแพงของการเก็บ Database แบบเดิมในที่สุด Salesforce ก็ได้กลายเป็นเจ้าใหญ่และเป็นผู้จำหน่าย CRM รายใหญ่ที่สุดในโลก

ช่วงปี 2000

ในช่วงปี 2000 นั้น Salesforce ถูกพูดถึงและประสบความสำเร็จบนอินเทอร์เน็ตเป็นอย่างมากและครองตลาดในช่วงปี 2000 เพราะถือเป็นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเนื่องจากทำให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงการขายและข้อมูลลูกค้าผ่านอุปกรณ์ใดๆก็ได้ที่เชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตเพราะในสมัยก่อนนั้นข้อมูลจะเข้าถึงได้เฉพาะคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นๆ

และในปี 2009 Salesforce ก็ได้ทำการเซอร์ไพรส์ทั้งโลกด้วยการเปิดตัว Service Cloud โดยใช้โมเดล SaaS ทำให้ Service Cloud ให้บริการลูกค้าและสนับสนุนคุณสมบัติการทำงานอัตโนมัติ (Automation) ในปีเดียวกัน แอปพลิเคชันแรกที่สร้างขึ้นบน Force.com สำหรับ iPhone ของ Apple ได้เปิดตัวและกลายเป็นพันธมิตรระดับองค์กรรายแรกใน App Store ของ Apple

Graphical timeline of the history and evolution of CRM.

https://fitsmallbusiness.com/history-of-crm/

ทิ้งท้าย

วิวัฒนาการของ CRM มาไกลจากจุดเริ่มต้นอย่างมากจากเครื่องมือตั้งโต๊ะที่ต้องใช้ระบบ Manual ที่เรียกว่า Rolodex แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงเหมือนเดิมมาตลอดก็คือการรู้ว่าใครคือลูกค้าเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ในขณะที่ธุรกิจข้อมูลที่หลากหลายสามารถจัดการใน CRM ได้มีการพัฒนาไป ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีจะช่วยให้ธุรกิจสามารถนำเสนอบริการและการสนับสนุนที่ดีที่สุดแก่ลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง

 

Get on the path to faster sales! 
Watch a guided tour or try free trial now!

มาร่วมทดลอง Salesforce CRM #1 กันเถอะ

ทดลองฟรี
CRM
บทความ

CRM ช่วยจัดการข้อมูลและวิเคราห์ข้อมูล

CRM หรือ Customer relationship management สามารถช่วยให้บริษัททำการรวบรวมข้อมูลของลูกค้ารวมถึงการเก็บบันทึก Customer Journey และช่วยจัดการระบบการขาย และมากไปกว่านั้นเทคโนโลยี CRM จะสามารถช่วยเพิ่ม conversions rate ได้จากลูกค้าหรือผู้ที่สนใจ และให้การเข้าถึงข้อมูลลูกค้าแบบ Insight อีกด้วย

วันนี้เราจะพามาดูว่า CRM นั้นช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างไรและข้อมูลที่ได้มานั้นมีประโยชน์อย่างไรต่อธุรกิจและสามารถนำไปต่อยอดได้อย่างไร

เรามาเริ่มกันที่ CRM database คืออะไร ?

CRM database นั้นช่วยให้ธุรกิจจัดการความสัมพันธ์กับผู้ติดต่อและลูกค้าโดยมีตัวกลางเก็บข้อมูลของลูกค้าหรือที่เรียกว่า Centralizing information ซึ่งมันจะทำให้ข้อมูลที่ทุกคนในทีมได้รับเหมือนกันหมดเพราะทุกคนสามารถเข้าถึงแหล่งของข้อมูลที่ CRM เก็บมาได้จากแหล่งเดียวกันไม่ต้องไปคอยถามกันเองให้ยุ่งยากและอาจทำให้เกิดข้อผิดพลาดได้ มากไปกว่านั้นยังช่วยให้สามารถจัดระเบียบข้อมูลของผู้ติดต่อ ติดตามข้อตกลง และสร้างรายงาน(Report) เราสามารถดูแหล่งที่มาของผู้ติดต่อแต่ละคนได้ว่าผู้ติดต่อหรือลูกค้าเข้ามาหาเราผ่านช่องทางไหนบ้าง (Customer Journey)

CRM ยังบันทึกการสื่อสารระหว่างเจ้าหน้าที่ให้บริการกับลูกค้าเราสามารถดูผู้ติดต่อและดู Touchpoints ที่ลูกค้าหรือผู้ติดต่อมีกับบริษัทของเราได้ CRM สามารถเรียกดูบันทึกการโทรกับทีมขาย จำนวนอีเมลที่ลูกค้าหรือผู้ติดต่อเปิดจากที่เราส่งออกไปและประวัติการแชทกับตัวแทน

แพลตฟอร์ม CRM ยังสามารถช่วยให้พนักงานสามารถเข้าถึงข้อมูลลูกค้าจากอุปกรณ์ที่รองรับไม่ใช่แค่บนคอมพิวเตอร์ เช่น มือถือ แทปเลต อีกด้วย ซึ่งช่วยให้พนักงานสามารถค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องและทำงานร่วมกันในโปรเจคได้ง่ายขึ้นเช่น ด้านการขายและการตลาดใหม่ เราไม่จำเป็นต้องเสียเวลาถามเพื่อนร่วมงานเพื่อขอข้อมูลอีกต่อไปทั้งหมดนี้ถูกบันทึกอยู่ใน CRM

 

ประโยชน์ของ CRM database

CRM สามารถช่วยให้จัดระเบียบและเก็บบันทึกข้อมูลสำคัญได้อย่างไม่มีข้อผิดพลาด หากผู้อ่านยังไม่มั่นใจนการนำ CRM ไปใช้งานกับองค์กรและก็ลองมาดูประโยชน์ของ CRM กันดีกว่า

1. CRM ช่วยจัดระเบียบผู้ติดต่อ

เมื่อเพิ่มผู้ติดต่อไปยัง CRM แล้ว เราสามารถที่จะจัดเรียงกรองผู้ติดต่อและคุณสมบัติผู้ติดต่อต่างๆ ได้ เราสามารถจัดเรียงลูกค้าตามชื่อและนามสกุล ที่อยู่อีเมลหรือชื่อบริษัท

หากคุณต้องการติดต่อผู้ติดต่อรายใดรายหนึ่ง คุณสามารถค้นหาผู้ติดต่อเหล่านั้นได้ทันทีและมีประสิทธิภาพ

ฐานข้อมูล CRM คืออะไร – จัดระเบียบและดูผู้ติดต่อ

จัดระเบียบด้วย CRM ฟรีของ HubSpot

สิ่งนี้ช่วยได้อย่างไร: โดยการกรองข้อมูลนี้ พนักงานของคุณจะใช้เวลาน้อยลงในการค้นหาข้อมูลและมีเวลามากขึ้นในการปิดดีล

2. เพิ่มโอกาสการรักษาลูกค้าเก่า

การสื่อสารกับลูกค้าเก่าเราจะต้องด้วยวิธีที่เหมาะสมและต้องสอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า ไม่เช่นนั้นลูกค้าอาจเกิดความรำคาญและเลือกที่จะไปซื้อสินค้าหรือบริการจากแบรนด์อื่นแทนที่จะเลือกเราเหมือนเดิม ซึ่ง CRM Database จะช่วยทำให้เรามองเห็นลูกค้าแบบ Personalization ทำให้การสื่อสารกับลูกค้านั้นไม่ก่อให้เกิดความรำคาญและอาจส่งผลให้เกิดการซื้อซ้ำมากขึ้นอีกด้วย 

3. CRM สามารถช่วยทำรายงานได้อย่างรวดเร็ว

ในระบบ CRM ที่มีประสิทธิภาพส่วนใหญ่แล้ว จะสามารถสร้างรายงานเพื่อติดตามผู้ติดต่อและข้อตกลงการซื้อขายได้เราสามารถใช้ข้อมูลเพื่อสร้างการคาดการณ์รายได้ สิ่งนี้ทำให้การประเมินประสิทธิภาพเทียบกับเป้าหมายของคุณเป็นเรื่องง่าย

สรุป

CRM database ที่เหมาะสมสามารถสร้างความสะดวกสบายให้กับองค์กรได้เป็นอย่างดีทุกคนในบริษัทของเราจะสามารถเข้าถึงข้อมูลเดียวกันได้ การส่งมอบข้อตกลง การรวบรวมข้อมูลเชิงลึก และการติดตามลูกค้ากลุ่มเป้าหมายเป็นเรื่องง่าย ข้อมูลที่ถูกเก็บมารวบรวมไว้ในที่ที่เดียวจะสามารถทำให้เราค้นหาจุดบอดและค้นพบจุดเด่นที่สำคัญที่สุดได้เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า เช่น แคมเปญการขายทั้งหมดจะได้รับการสนับสนุนด้วยข้อมูลที่ถูกต้องเป็นกลางจึงทำให้แคมเปญที่ส่งออกไปนั้นมีประสิทธิภาพมากกว่าองค์กรที่ไม่มีระบบ CRM

 

Get on the path to faster sales! 
Watch a guided tour or try free trial now!

มาร่วมทดลอง Salesforce CRM #1 กันเถอะ

ทดลองฟรี
Segmentation
บทความ

Segmentation สำคัญกว่าที่คิด!

เชื่อว่าหลายๆคนเกิน 90% ที่อ่านบทความนี้อยู่จะต้องเคยได้ยินเกี่ยวกับการทำ Segmentation กลุ่มลูกค้า แต่เราทำไปเพื่ออะไร? และ จริงๆแล้วการ Segment กลุ่มลูกค้ามีความสำคัญอย่างไรในการดำเนินธุรกิจ

Segmentation คืออะไร ?

Segmentation คือการแบ่งกลุ่มลูกค้าเป็นกระบวนการจัดระเบียบรายชื่อลูกค้าเป็นให้กลายเป็นกลุ่มต่างๆ ตามความสนใจที่เหมือนๆกันและเกณฑ์เฉพาะ เช่น เพศ อายุ สถานที่ ฯลฯ การแบ่งกลุ่มลูกค้าช่วยให้ธุรกิจและนักการตลาดมีโอกาสปรับและแก้ไขการสื่อสารตามกลุ่มลูกค้าเฉพาะและความต้องการหรือความคาดหวังเฉพาะของลูกค้าได้ การแบ่งกลุ่มจะช่วยให้สามารถระบุความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่มได้ง่ายขึ้น และในที่สุดก็จะกระตุ้นให้ลูกค้าเกิดการตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น

โดยการแบ่งกลุ่มลูกค้าเบื้องต้นที่ถูกใช้กันหลักๆก็จะมี

  • ข้อมูลประชากร (Demographic)
  • ทางภูมิศาสตร์ (Geographic)
  • เทคโนโลยี (Technographic)
  • จิตวิทยา (Psychographic)
  • พฤติกรรม (Behavioral)

เรามาดูตัวอย่างกันสักหน่อยดีกว่า ว่าสามารถแบ่งได้อย่างไรบ้าง

ข้อมูลประชากร

กลุ่มตามข้อมูลประชากรสามารถแบ่งผู้ติดต่อตามอายุ เพศ รายได้ การศึกษา สถานภาพการสมรส และอื่นๆ

ตัวอย่าง: ในอีคอมเมิร์ซ ใช้เพศหรืออายุเพื่อส่งโปรโมชันผลิตภัณฑ์เฉพาะสำหรับแต่ละกลุ่ม เช่น “ผู้หญิงอายุ 18-25 ปี”

ทางภูมิศาสตร์

โดยทั่วไปแล้วเซ็กเมนต์ทางภูมิศาสตร์จะจัดเรียงผู้ติดต่อออกเป็นกลุ่มตามทวีป ประเทศ หรือเมือง แต่อันที่จริงแล้วการแบ่งแบบ Geographic ยังสามารถใช้ภาษาเป็นตัวแปรสำหรับการสื่อสารเพื่อติดต่อไปหาลูกค้าแต่ละรายได้อีกด้วย

ตัวอย่าง: หากฐานผู้ติดต่อมีอยู่ทั่วโลกและเราต้องการที่จะจัดเซสชันการสัมมนาผ่านเว็บหลายเซสชันตลอดทั้งวัน เพื่อให้ผู้คนเข้าร่วมในช่วงเวลาที่เหมาะสม การแบ่งฐานข้อมูลลูกค้าตามภูมิศาสตร์จึงเป็นสิ่งที่ถูกต้องมันทำให้เราสามารถส่งอีเมลประชาสัมพันธ์การสัมมนาผ่านเว็บหรือกิจกรรมออนไลน์ที่เกี่ยวข้องกับแต่ละเขตเวลาได้

พฤติกรรม

ข้อมูลพฤติกรรมจะถูกรวบรวมเมื่อผู้ติดต่อมีการสื่อสารกับช่องทางออนไลน์ของบริษัท เช่น เว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย หรืออีเมล ข้อมูลพวกนี้จะแจ้งให้เราทราบเมื่อมีคนดาวน์โหลดเนื้อหา ดูหน้าใดหน้าหนึ่งบนเว็บไซต์ หรือกดแชร์บทความของเราสินค้าของเรา

ตัวอย่าง: หากมีคนดาวน์โหลดบางอย่างและดูหน้าผลิตภัณฑ์และเรียกดูบล็อก เราอาจถือว่าพวกเขาสนใจในสินค้าหรือข้อมูลของบริษัทเรา การใช้การแบ่งส่วนประเภทนี้หมายความว่าคุณสามารถติดตามได้เมื่อพวกเขาไม่ได้ติดต่อกันเพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติม ทำให้คุณดำเนินการย้ายแรกได้

 

CRM segmentation strategy

เมื่อเราสามารถ Segmentation ลูกค้าของเราได้อย่างถูกต้องแล้วเราสามารถที่จะนำมาปรับใช้ CRM ได้เพื่อที่จะให้ลูกค้าเกิดความพึงพอใจมากที่สุดตลอด Journey ของลูกค้า

ตัวอย่างการใช้ CRM กับการ Segmentation

ค้นหาเป้าหมาย

ระบุว่าผู้ติดต่อรายใดสนใจ(Prospect) และมีแนวโน้มที่จะเป็นลูกค้าที่ทำกำไรให้กับเราได้อย่างไร

Up-sell and cross-sell

ใช้ข้อมูลการซื้อและ browing data เพื่อให้คำแนะนำที่เกี่ยวข้องและทันท่วงทีแก่ผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณเพื่อสร้าง Customer satisfaction

คาดการณ์การซื้อของกลุ่มเป้าหมาย

ใช้ข้อมูลของการขายและประวัติการซื้อเพื่อคาดการณ์เมื่อผู้ติดต่ออาจเลือกซื้อและคาดการณ์ด้วยการส่งข้อความและโปรโมชันที่เกี่ยวข้อง

เมื่อเราสามารถทำให้ชัดเจนในเป้าหมายแล้ว มันก็ง่ายที่เราจะสามารถวางแผนว่าจะใช้ข้อมูลที่มีอยู่เพื่อสร้างกลุ่มสำหรับการตลาดผ่านอีเมลหรือช่องทางอื่นๆอีกมากมายว่าได้อย่างไร

สรุป

การแบ่งกลุ่ม(Segmentation)เป็นกลยุทธ์ที่มีประโยชน์อย่างมากในการทำการตลาดผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆของเราและการ Segmentation จะช่วยให้การทำ Marketing automation นั้นง่ายมากขึ้น มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ช่วยให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากเครื่องมือการตลาด (Martech)

Get on the path to faster sales! 
Watch a guided tour or try free trial now!

มาร่วมทดลอง Salesforce CRM #1 กันเถอะ

ทดลองฟรี
บทความ

CRM กับ CLV (Customer lifetime value) มีความสัมพันธ์กันอย่างไร ?

ในฐานะเจ้าของธุรกิจอีคอมเมิร์ซหรือบริษัทต่างๆที่ขายสินค้า อาจจะเคยได้ยินเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่า CLV หรือมูลค่าตลอดอายุการใช้งานของลูกค้า โดยมันถูกใช้เพื่อวัดประสิทธิภาพและประเมินลูกค้าของเราจากธุรกิจ

แล้ว CLV คืออะไร ?

อย่างที่ได้บอกไปข้างบน CLV (Customer Lifetime Value ) คือ มูลค่าตลอดอายุการใช้งานของลูกค้า ถูกใช้เพื่อวัดประสิทธิภาพและประเมินลูกค้าของเราจากธุรกิจ ตัวอย่างเช่นถ้าลูกค้าเลือกซื้อสินค้าจากบริษัทของเราและซื้อซ้ำในทุกๆเดือน หรือ 2-3 เดือน นั่นหมายความว่าเราสามาถที่จะคำนวนหา CLV ของลูกค้าคนนี้ได้และเหตุผลที่ต้องประเมินหามูลค่าแบบช่วงชีวิต (Lifetime) ก็เพื่อที่จะได้สามารถบอกได้ว่า ลูกค้า 1 คนโดยเฉลี่ยแล้ว จะมีมูลค่ากับสินค้า แบรนด์ หรือบริษัทมากเท่าไหร่ตลอดช่วงชีวิต

ทำไม CRM จึงมีบทบาท ?

นั่นก็เพราะว่า CRM (Customer relationship management) หรือที่เราเรียกกันว่าการจัดการลูกค้าสัมพันธ์นั้นเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับธุรกิจทุกขนาดในการจัดการการสื่อสารกับลูกค้าปัจจุบันและผู้ที่มีโอกาสเป็นลูกค้าในอนาคตจุดประสงค์คือเพื่อทำให้กระบวนการภายในของบริษัทนั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้นและเพื่อรวบรวมจัดเก็บข้อมูลลูกค้าจำนวนมากข้อมูลที่ได้เก็บรวบรวมมานั้นสามารถใช้เพื่อผลักดันการเติบโตของยอดขายและเพิ่มการทำกำไรได้

ไม่ใช่แค่ช่วยเพิ่มกำไรและปรับปรุงกระบวนการดำเนินงานภายในองค์กร CRM ยังได้รับการออกแบบมาเพื่อปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้าให้ดีขึ้นอีกด้วย(Customer experience) เช่น การทำความเข้าใจความสนใจของลูกค้า ประวัติการซื้อ ความชอบ และอื่นๆ ของลูกค้า ด้วยเหตุนี้บริษัทต่างๆสามารถปรับปรุงผลิตภัณฑ์ การให้บริการ หรือการตลาดเพื่อให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้ CRM จึงสามารถช่วยกระชับความสัมพันธ์ระหว่างธุรกิจกับลูกค้าและส่งเสริมความภักดีของลูกค้า (Loytalty)

และ CRM ยังสามารถช่วยพัฒนาและสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า อย่างที่ได้บอกไปข้างบนว่า CRM ได้รับการออกแบบมาเพื่อปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้าให้ดีขึ้น ดังนั้น CRM จึงทำหน้าที่เป็นรากฐานเพื่อเก็บและวิเคราะห์ประสบการณ์ของลูกค้าที่มีต่อแบรนด์ ประสบการณ์ของลูกค้าในเชิงบวกมีความสำคัญต่อความสำเร็จของธุรกิจและสามารถช่วยลดการสูญเสียลูกค้าให้กับคู่แข่งได้เป็นอย่างมาก การศึกษาพบว่า CRM สามารถปรับปรุงการรักษาลูกค้าได้ถึง 27% การใช้ระบบ CRM เพื่อเพิ่มประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าไม่ว่าคุณจะเป็นองค์กรที่อยู่ในอุตสาหกรรมใดก็สามารถได้เปรียบในการแข่งขันและยังช่วยให้องค์กรสามารถสร้างฐานลูกค้าของตนเอง

การใช้ CRM ยังสามารถให้ประโยชน์หลายอย่างแก่ธุรกิจเช่น สามารถช่วยในการหาลูกค้าใหม่ รักษาลูกค้าเดิม และนำลูกค้าเก่ากลับมาทำให้เกิดการซื้อซ้ำ การทำให้การดำเนินงานบางส่วนของธุรกิจเป็นกลายเป็นแบบอัตโนมัติ (Automation) จากระบบการทำงานที่คล่องตัวจะสามารถช่วยให้ธุรกิจดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากขึ้นช่วยประหยัดทั้งเงินและเวลา

ตัวอย่างประโยชน์จากการใช้ CRM

  • ช่วยเพิ่มจำนวนลูกค้า
  • ช่วยสร้างความภักดีของลูกค้า (Loytaly)
  • ลดความซับซ้อนของกระบวนการขายและการตลาด
  • ช่วยพัฒนาและปรับปรุงการให้บริการลูกค้า
  • ช่วยให้การสื่อสารในทีมหรือทั้งองค์กรมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • เร่งกระบวนการตัดสินใจ

Get on the path to faster sales! 
Watch a guided tour or try free trial now!

มาร่วมทดลอง Salesforce CRM #1 กันเถอะ

ทดลองฟรี
5 ข้อดี CRM
บทความ

5 CRM Trends สำหรับกลยุทธ์การตลาดปี 2023

ความคาดหวังของผู้บริโภคเพิ่มขึ้น จากข้อมูลของ Talkdesk ลูกค้า 58% คาดหวังบริการที่ดีกว่าปีที่แล้ว และเพื่อให้บริการนั้น การมี CRM ที่ดีคือกุญแจสำคัญ

จากข้อมูลของ Fortune ตลาด CRM จะเติบโตในอัตราการเติบโตต่อปีที่ 12.5% ไปจนถึง 145.79 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2029 มาดูแนวโน้ม CRM ที่จะกำหนดอนาคตของภาคส่วนนี้

1) เข้าใจลูกค้าได้ดีขึ้นด้วย CRM

CRM เป็นเครื่องมือทางการตลาดที่ไว้ใช้ติดตามผู้ติดต่อเข้ามาและดูแลลูกค้ากลุ่มเป้าหมายแต่อันในปัจจุบัน CRM กำลังกลายเป็นช่องทางในการทำความเข้าใจลูกค้าของเราให้ดียิ่งขึ้นจากข้อมูลที่เก็บมา เนื่องจาก CRM รวบรวมข้อมูลจำนวนมากเกี่ยวกับลูกค้าแต่ละรายช่วยให้ทีมขายและฝ่ายบริการลูกค้าสร้างโปรไฟล์โดยละเอียดของลูกค้าแต่ละรายที่ติดต่อด้วย โปรไฟล์ของลูกค้าที่ละเอียดนี้มีประโยชน์อย่างมากสำหรับบริษัทโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับทีมขาย จากรายงานอุตสาหกรรมล่าสุด (Chang, 2021) พนักงานขาย 70% เชื่อว่า CRM นั้น “สำคัญมาก” สำหรับการปิดการขาย นอกจากนี้ จากข้อมูลของ LinkedIn 49% ของผู้เชี่ยวชาญด้านการขายวางแผนที่จะใช้เทคโนโลยีนี้มากขึ้นในอนาคต

ท้ายที่สุด CRM ช่วยให้เราเข้าถึงข้อมูลมากมายเกี่ยวกับลูกค้าของเราซึ่งได้รับการอัปเดตเกือบจะเป็นเรียลไทม์ และมีการประมวลผลข้อมูลนี้อย่างเหมาะสมเพื่อใช้เพื่อสร้างโปรไฟล์โดยละเอียดที่อำนวยความสะดวกในการทำงานของทั้งบริษัท

2) ความต้องเพิ่มการใช้ CRM เพิ่มขึ้น

แนวโน้มของ CRM บ่งบอกว่าการใช้งานเป็นที่นิยมในแผนกต่างๆของบริษัทมากยิ่งขึ้นไม่ใช่แค่แผนกที่ทำงานโดยตรงกับลูกค้า เช่น ฝ่ายขายและฝ่ายบริการลูกค้า

ผู้เชี่ยวชาญด้าน CRM ระบุว่ามีแนวโน้มว่าในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า CRM จะถูกนำมาใช้ทั่วทั้งองค์กรเกือบทุกแผนก เนื่องจากบริษัทจะตระหนักว่าการไม่มีระบบ CRM นั้นทำให้การทำงานเกิดความล่าช้าสื่อสารข้อมูลไม่ตรงกัน จากการศึกษาเมื่อเร็วๆ นี้ 80% ของบริษัทตระหนักว่า CRM ไม่เพียงแต่มีประโยชน์สำหรับการช่วยเหลือฝ่ายขายและฝ่ายบริการลูกค้าเท่านั้นแต่กับทั้งองค์กร

ดังนั้น ในปีที่จะถึงนี้ CRM ถูกคาดการไว้ว่าจะเห็นการใช้ CRM เยอะขึ้นอย่างแน่นอน

3) Social CRM

บริษัทต่างๆยังคงใช้ช่องทางโซเชียลมีเดียเพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับลูกค้าของตนเองและใช้ CRM ทำการ integratation เข้ากับโซเชียลมีเดียยอดนิยมอย่าง Facebook, Twitter และ LinkedIn ได้อย่างไม่มีปัญหาใดๆ เพื่อสำรวจดูพฤติกรรมการซื้อของพวกลูกค้าว่าเป็นอย่างไร และลูกค้า้คิดอย่างไรเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของตน ทั้งหมดนี้มีส่วนช่วยในการทำความรู้จักกับลูกค้าของเราให้ดียิ่งขึ้น

4) เทคโนโลยีของ CRM

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาการใช้ CRM ไม่เพียงพัฒนาไปเท่านั้นแต่ยังรวมถึงฟังชั่นทางเทคโนโลยีด้วย ปัจจุบันเครื่องมือ CRM หลายแบรนด์มากมายฟังชั่นที่ช่วยในการซัพพอร์ตการขายและการตลาด ตลอดจนฟังก์ชันการจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้า เมื่อบริษัทนำเครื่องมือ CRM มาใช้มากขึ้นบริษัทจะสามารถลดจำนวนเทคโนโลยีที่ใช้ซึ่งจะช่วยให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นและลดการใช้จ่ายด้านเทคโนโลยีโดยรวม

เพื่อใช้ประโยชน์จากประโยชน์ของ CRM อย่างเต็มที่บริษัทควรซิงโครไนซ์ข้อมูลระหว่างเครื่องมือต่างๆ ที่ใช้ในแผนกต่างๆ ของบริษัท การซิงโครไนซ์ข้อมูลนี้ทำให้มั่นใจได้ว่าข้อมูลลูกค้าจะถูกอัพเดทให้เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ

5) มีศูนย์กลางรวบรวมข้อมูลให้กับองค์กร

ขั้นตอนทางเทคโนโลยีขั้นต่อไปสำหรับ CRM คือการรวมแพลตฟอร์มการจัดการลูกค้าเข้ากับกระบวนการทางธุรกิจทั้งหมด

พฤติกรรมของลูกค้ามีการพัฒนาไปสู่การโต้ตอบเสมือนจริงมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งทำให้การรักษาระบบ CRM ที่มีประสิทธิภาพมีความสำคัญมากขึ้นกว่าเดิม ด้วยการรวม CRM เข้ากับโปรแกรมและเครื่องมืออื่นๆ ขององค์กร บริษัทต่างๆ สามารถสร้างมุมมองเดียวที่สมบูรณ์ของลูกค้าแต่ละราย และกำจัดไซโลข้อมูลภายในองค์กรได้ ในทางกลับกัน ระบบการตลาดสามารถใช้แหล่งข้อมูลเดียวนี้เพื่อสร้างการเดินทางของลูกค้าที่เป็นส่วนตัวสูง และการเดินทางของลูกค้าที่เป็นส่วนตัวเหล่านี้จะช่วยเพิ่มความภักดี

ทุกวันนี้ CRM ส่วนใหญ่สามารถรวมเข้ากับซอฟต์แวร์ด้านการตลาด(integratation) รวมถึงแพลตฟอร์มการตลาดผ่านอีเมลต่างๆ การซิงโครไนซ์ข้อมูลระหว่าง CRM และระบบการตลาดทำให้มั่นใจได้ว่าข้อมูลที่ติดต่อลูกค้าเป็นข้อมูลที่ถูกอัพเดทอยู่เสมอ และการ integratation ยังช่วยลดความยุ่งยากในการจัดการกับอีเมลที่ซ้ำกันอีกด้วย

 

Get on the path to faster sales! 
Watch a guided tour or try free trial now!

มาร่วมทดลอง Salesforce CRM #1 กันเถอะ

ทดลองฟรี
บทความ

ข้อดีของการมี First party data โดยใช้ระบบ CRM

แน่นอนว่าหลังจากการประกาศของ Google เรื่องการยกเลิก third-party cookie นั้นทำให้ทุกๆธุรกิจเกิดความแตกตื่นตื่นกับข่าวนี้เป็นอย่างมาก นักการตลาดจึงต้องการวิธีใหม่ๆ ในการเก็บข้อมูลลูกค้า ซึ่งเป็นความท้าทายสำหรับหลายองค์กรที่ใช้คุกกี้เพื่อโฆษณาผ่านช่องทางดิจิทัลไม่เพียงแต่ติดตามพฤติกรรมของผู้ใช้ แต่ต้องหาวิธีที่จะมาเก็บข้อมูลลูกค้าของตนเองหรือผู้ที่มีโอกาสเป็นลูกค้าและค้นหาเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการของเรา 

สำหรับนักการตลาดนี่จึงเป็นสิ่งที่ท้าทายเป็นอย่างมากมันเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญจากที่ปกติเราจะต้องพึ่งพาข้อมูลจากไซต์ภายนอกเพื่อโฆษณาและติดตาม Activity ของลูกค้าข้ามโดเมนและตอนนี้ความรับผิดชอบอยู่ที่ทีมการตลาดเพื่อที่จะต้องค้นหาทางเลือกอื่นในการนำเสนอเนื้อหาที่ปรับให้เหมาะกับเป้าหมายและลูกค้าต่อไป

 

First-party data คืออะไร ?

First-party data คือข้อมูลที่เราได้รวบรวมมาได้จากผู้คลิ๊กเข้าดูผ่านช่องทางดิจิทัลต่างๆของเราที่เราเป็นเจ้าของเช่น Facebook, Website , Google ads  ดังนั้นจึงทำให้ข้อมูลที่เราเก็บมาสามารถเชื่อถือได้และไม่มีปัญหาจากกฏหมายยินยอมให้ใช้ข้อมูลเพื่อติดต่อและมีส่วนร่วม

ตัวอย่างของ First-party data

– พฤติกรรมของลูกค้าเว็บไซต์หรือแอป
– สมาชิกอีเมลและจดหมายข่าว
– Lead generation campaigns
– แบบสำรวจ
– โซเชียลมีเดีย
– Subscriptions
– ความคิดเห็นของลูกค้า
– การบริการลูกค้า/การสนทนาการขาย

ข้อดีของการมี First-Party data

เนื่องจากข้อมูลFirst-Party data เป็นของเราโดยตรง ข้อมูลดังกล่าวจึงเป็นข้อมูลเชิงลึกที่มีประสิทธิภาพและด้านล่างคือตัวอย่างประโยชน์ของการมี First-party data

– สามารถทำการตลาดแบบ Personalization เพื่อให้ตรงกับ Need ของลูกค้ามากยิ่งขึ้น
– กำหนดเป้าหมายลูกค้าได้ถูกต้องและเหมาะสมก่อนที่จะยิงแคมเปญด้านการตลาดออกไป
– เสริมสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าให้ดียิ่งขึ้นได้จากข้อมูลที่เราเก็บมา
– ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับกฏหมายความเป็นส่วนตัวเนื่องจากเราจะมีแบบฟอร์ม Consent ให้ลูกค้ากรอกก่อนอยู่แล้วในการใช้งานหรือขอการเก็บข้อมูล
– ช่วยลดต้นทุนในการทำการตลาดเพื่อยิงแคมเปญออกไปได้

นอกจากนี้ยังปล่อยให้คู่แข่งของคุณอยู่ในความมืดว่าทำไมคุณถึงเลือกทำกิจกรรมทางการตลาดบางอย่างหรือลองใช้กลยุทธ์ใหม่ ก่อนหน้านี้ใครก็ตามสามารถเข้าถึงข้อมูลเดียวกันผ่านแหล่งข้อมูลบุคคลที่สามได้ มีเพียงคุณเท่านั้นที่มีข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความชอบและพฤติกรรมของลูกค้า

 

5 วิธีในการใช้ข้อมูลจาก First-party data ให้เกิดประโยชน์

อีเมล – ทำการแบ่งกลุ่มลูกค้าและสร้างอีเมล customized เนื้อหาของอีเมลให้เข้ากับกลุ่มลูกค้าที่เราแบ่งไว้ก่อนหน้า

หน้า Landing Page – ทดสอบ A/B Test โดยใช้ข้อมูลลูกค้าในหน้า Landing Page เพื่อดูว่าข้อความใดโดนใจกลุ่มเป้าหมายเฉพาะจากข้อมูลที่เราเก็บมา

Paid ads – ทำให้ Ads หรือแคมเปญด้านการตลาดที่เรายิงออกไปนั้นมีประสิทธิภาพและตรงกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น

โซเชียลมีเดีย – สร้างเนื้อหาที่ปรับแต่งในรูปแบบต่างๆ (เช่น บล็อก วิดีโอ ebooks) ที่จะสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายได้ตรงใจมากยิ่งขึ้น

รู้ใจลูกค้าและทำ Loyalty – ตัวอย่างเช่น ทำให้เราสามารถรับรู้ได้ว่าลูกค้าของเราโดยส่วนใหญ่นั้นชอบการสะสมแต้ม หรือ ชอบแบบที่เป็นส่วนลดเลยมากกว่าเช่น ซื้อสามชิ้นในราคาสองชิ้น เป็นต้น

โดยรวมแล้วการมี First-party data ถือเป็นทรัพย์สินที่มีค่าเป็นอย่างมากสำหรับธุรกิจเพื่อที่จะต้องพัฒนาด้านการตลาด และสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับลูกค้า

Get on the path to faster sales! 
Watch a guided tour or try free trial now!

มาร่วมทดลอง Salesforce CRM #1 กันเถอะ

ทดลองฟรี
Salesforce Integration
บทความ

Salesforce integration คืออะไร

Salesforce integration

วันนี้เราจะมาพูดถึง Salesforce Integration ซึ่งตัวซอฟแวร์ Salesforce ได้ช่วยเหลือองค์กรในการจัดการฐานข้อมูลลูกค้ามานานกว่าสองทศวรรษ ให้ผู้ใช้มีฟังชั่นที่เหมาะสมระหว่าง automation และ personalization เพื่อปรับแต่งการบริการตามความต้องการเฉพาะของลูกค้ากลุ่มนั้นๆๆ

อย่างไรก็ตาม หากต้องการที่จะขยายฟังก์ชันการทำงานของ CRM ให้มีขนาดใหญ่ขึ้นและสามารถรวมเข้ากับแพลตฟอร์มอื่นๆที่ใช้อยู่ คุณสามารถทำได้ด้วย Salesforce integration

Salesforce integration คืออะไร?

Salesforce integration เป็นกระบวนการของการรวมข้อมูลและฟังก์ชันการทำงานของ Salesforce กับแอปพลิเคชันอื่นๆเพื่อมอบประสบการณ์ที่รวมเป็นหนึ่งเดียวแก่ผู้ใช้ ช่วยให้คุณมอบฟังชั่นที่ผสมผสานกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของทั้งสองแพลตฟอร์มให้กับทีมของคุณได้ ผู้ใช้ Salesforce มักจะประสบปัญหาในการปรับข้อมูลให้ตรงกันระหว่างสองแพลตฟอร์มและการสลับไปมาระหว่างกันในขณะที่ทำงาน การรวมระบบของ Salesforce สามารถช่วยลดปัญหาในการทำงานและความรวดเร็วในการจัดการข้อมูลเรามาดูตัวอย่างการใช้งาน Salesforce กับระบบอื่นกัน เช่น การรวม Salesforce เข้ากับระบบ PayPal จะช่วยให้ Salesforce กลายเป็นเป็นเกตเวย์การชำระเงินได้ และ การรวม Salesforce กับ Twilio จะเพิ่มความคล่องตัวให้กับกระบวนการสื่อสารกับลูกค้า

Salesforce Integration Processes

โดยหลักๆแล้วการทำ Integration จะมีสองวิธีที่ส่วนใหญ่ใช้กันคือ App-based และ code-based Salesforce Integration ถ้าเป็นแบบ App-based จะดำเนินการโดยใช้แอปพลิเคชันเฉพาะ แอปเหล่านี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถรวมข้อมูลระหว่างสองแอปและพัฒนาแพลตฟอร์มที่เป็นหนึ่งเดียวด้วยการคลิกง่ายๆ เพียงไม่กี่คลิ๊ก ในการรวม Salesforce CRM ให้เข้ากับแอปพลิเคชันที่เหมาะสม เราจะต้องมีแพลตฟอร์มที่พร้อมกับการ Integration ด้วยเพื่อความราบรื่นและความสะดวกในการถ่ายโอนข้อมูลระหว่างสองแอปพลิเคชัน เช่นแอพอย่าง Zapier และ Jitterbit และอื่น ๆ

เรามาดูแบบ code-based กันบ้าง นอกจากการใช้แอปพลิเคชันแล้ว การ Integration Salesforce ยังสามารถดำเนินการได้จากภาษาการเขียนโปรแกรม เช่นการใช้ Apex เป็นตัวอย่างทั่วไปของการ Integration Salesforce ที่ใช้โค้ดเป็นหลักเป็นภาษาโปรแกรมที่เป็นกรรมสิทธิ์ซึ่งมีไวยากรณ์ที่คล้ายกับ Java

ประโยชน์หลักบางประการของการดำเนินการผสานรวม Salesforce โดยใช้รหัสโดยใช้ Apex

– การสนับสนุนในตัวสำหรับ Salesforce Lightning Platform
– ภาษาที่ใช้ง่ายและเข้าใจง่าย
– เหมาะสำหรับ API เวอร์ชันต่างๆ
– ภาษาการเขียนโปรแกรมสามารถโฮสต์บนแพลตฟอร์ม Lightning และควบคุมโดยภาษาเดียวกันทั้งหมด

 

ข้อควรพิจารณาที่สำคัญก่อนการทำ Integration

– ตรวจสอบขีดจำกัดของ API สำหรับทั้งสองแอปพลิเคชัน
– การระบุประเภทของ integration (the integration type) ว่าต้องการแบบ Real-Time หรือไม่
– ตรวจสอบการตรวจสอบความถูกต้องของระบบ
– การสร้าง API แบบกำหนดเองเพื่อเรียก API ของบุคคลที่สาม(Third-partyเพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติมที่จำเป็น
– ทำความเข้าใจตัวเลือกการกำหนดค่าที่มีอยู่
– รับทราบข้อมูลที่จะไม่ถูกถ่ายโอนระหว่างสองแพลตฟอร์ม

 

สรุป

การทำ Salesforce integration ช่วยให้นักพัฒนาสามารถปรับปรุงฟังก์ชันการทำงานของ Salesforce และช่วยให้ผู้ใช้ประหยัดเวลาและช่วยลดความยุ่งยากในการใช้เครื่องมือที่เกี่ยวข้องกับแพลตฟอร์มอื่นๆทำให้ไม่ต้องสลับไปมาหรือทำงานเดิมซ้ำๆระหว่างแพลฟอร์ม เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณวางแผนที่จะดำเนินการ integration Salesforce ขอแนะนำให้ใช้ความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญด้านการ integration เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ซึ่งทางบริษัท M Intelligence ก็คือหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญ

 

Get on the path to faster sales! 
Watch a guided tour or try free trial now!

มาร่วมทดลอง Salesforce CRM #1 กันเถอะ

ทดลองฟรี
บทความ

6 ขั้นตอนที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจด้วย Salesforce

มีคำที่กล่าวไว้ของ Salesforce ว่า “No customer experience happens on its own. Learn how Salesforce can enhance the customer experiences you provide to clients!”
ไม่มีประสบการณ์ของลูกค้าเกิดขึ้นเอง เรามาเรียนรู้การใช้ Salesforce กันดีกว่าว่าสามารถปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้าให้ดีขึ้นกว่าเดิมได้อย่างไร

Salesforce ปรับปรุงประสิทธิภาพของธุรกิจอย่างไร

Salesforce CRM เป็นเครื่องมือ Martech ที่ได้รับการออกแบบโดยคำนึงถึงลูกค้าเป็นอันดับแรก ซึ่งช่วยให้องค์กรยกระดับการจัดการภายในองค์กรและช่วยเหลือลูกค้าจัดการกับข้อปัญหาต่างๆที่ลูกค้าได้เจอค้นหาโซลูชันเพื่อที่จะทำให้ลูกค้าเกิดความพึงพอใจสูงสุด Salesforce ช่วยให้คุณให้ความสำคัญกับความสำเร็จของลูกค้าเป็นอันดับแรก และในกระบวนการนี้ ให้มุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงประสิทธิภาพของธุรกิจของคุณเอง

และนี่คือ 6 วิธีที่จะเพิ่มให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้นจากการใช้ Salesforce

1.Improved customer visibility เพื่อให้ลูกค้าทุกคนของเราได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด เมื่อลูกค้ามีการติดต่อเข้ามาเราต้องสามารถเข้าถึงบัญชี สัญญา งาน กิจกรรม หรือข้อมูลส่วนตัวของลูกค้าที่เกี่ยวข้องให้เร็วท่ีสุดเพื่อความพึงพอใจและสร้างความประทับใจให้ลูกค้า ซึ่ง Salesforce สามารถทำได้ Salesforce เป็นแพลตฟอร์มที่สะดวกสำหรับการจัดการข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับลูกค้าทั้งหมดทำให้พนักงานในองค์กรของเรานั้นสามารถบริการลูกค้าได้ราวกับว่าเขาเป็นลูกค้าคนเดียวของบริษัท นอกจากนี้จากการทำความเข้าใจลูกค้าของคุณให้ดีขึ้นคุณจะอยู่ในตำแหน่งที่สามารถforecast ได้ว่าในขั้นตอนต่อไปนั้นลูกค้าจะทำอะไรต่อซึ่งนี่เป็นสิ่งสำคัญมากในการที่จะสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าและปิดการขาย ซึ่งทาง Salesforce เคลมไว้ว่าทางเขาสามารถ Forecast ได้แม่นถึง 42%

2.Superior time management Salesforce บอกไว้ว่าเมื่อคุณต้องรับผิดชอบหน้าที่ต่างๆมากมายเวลาเหล่านั้นจะเริ่มรู้สึกสั้นลงเรื่อยๆ โดยตัว Salesforce สามารถรวบรวมข้อมูลของพนักงานขายในองค์กรได้ว่าตอนนี้พนักงานคนไหนทำอยู่ขั้นตอนไหนแล้วมีนัดกับใครบ้าง โดยเราสามารถดูและเข้าถึงได้เช่น ปฏิทิน กำหนดการ กิจกรรม และอื่นๆ ด้วยเหตุนี้เลยทำให้การจัดการเวลาทำได้ดียิ่งขึ้นซึ่งจะช่วยให้งานสามารถเสร็จตามเดดไลน์ได้

3.More efficient sales pipeline การค้นหาลีดที่ถูกต้องที่จะเข้าอาจทำให้กระทบกับงานอื่นๆ และนี่ยังพูดถึงการนำลีดเหล่านั้นมาผ่านขั้นตอนการขายซึ่งใน Process ขั้นตอนนี้จะกินเวลาเป็นอย่างมาก ซึ่งทาง Salesforce สามารถช่วยให้ติดตามผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าแต่ละรายได้อย่างง่ายดาย รวมถึงปัญหา ความต้องการของลูกค้า และข้อมูลอื่นๆ ที่อาจเป็นประโยชน์ต่อการช่วยผู้ที่มีโอกาสเป็นลูกค้ามาเป็นลูกค้าจริง ด้วยเหตุนี้ คุณจะสามารถทราบได้อย่างชัดเจนว่าลีดอยู่ตรงไหนในไปป์ไลน์การขายของคุณ ตลอดจนรู้ว่าขั้นตอนต่อไปของพวกเขาควรเป็นอย่างไร โดยทาง Salesforce เคลมไว้ว่าผลลัพธ์ที่ได้คือ Salesforce company sales by up to 29%.

4.Enhanced collaboration การมีแพลตฟอร์มการทำงานร่วมกันข้ามแผนกบนระบบคลาวด์หมายความว่าบุคคลที่ได้รับอนุญาตทุกคนสามารถทำงานร่วมกันได้เพื่อความสะดวกสบายไม่ต้องโอนย้ายถ่ายข้อมูลของไฟล์ให้ใครคนใดคนหนึ่งโดยสามารถทำงานไปพร้อมกันได้เลย ทีมต่างๆในบริษัทสามารถเข้าถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้อง สื่อสาร และทำงานร่วมกันเพื่อมอบประสบการณ์การบริการลูกค้าที่ราบรื่นซึ่งจะไม่ถูกรบกวนและสื่อสารระหว่างแผนกผิดพลาด

5.Better support เครื่องมือจะดีก็ต่อเมื่อใช้งานได้เท่านั้น Salesforce ให้การซัพพอร์ตที่เหนือกว่าดังนั้นในกรณีที่เกิดปัญหาขึ้น ขั้นตอนต่างๆ จะถูกดำเนินการทันทีเพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างจะกลับคืนสู่การทำงานแบบปกติได้อย่างรวดเร็วที่สุด ซึ่งข้อดีที่สุดก็คือการที่แพลตฟอร์มทั้งหมดอยู่บนระบบคลาวด์ การเซอร์วิสสามารถทำได้โดยไม่ต้องนำช่างเทคนิคมาที่สำนักงาน และไม่ต้องเสียค่าบำรุงรักษาแพง

6.Increased efficiency and productivity  เนื่องจาก Salesforce นั้นมีระบบ Automation ซึ่งช่วยให้ประหยัดเวลาในการทำงานได้เป็นอย่างมาก ตัวอย่างเช่นถ้าคุณต้องการส่งข้อความหาลูกค้าไปในหลายช่องทางเราก็ต้องมานั่งทำแต่ละช่องทางด้วยตัวเองทั้งหมดซึ่งมันเสียเวลาเอามากๆ Salesforce นั้นสามารถที่จะแก้ปัญหาตรงนี้ได้ด้วยระบบ Marketing Automation โดยเราสามารถส่งข้อความหรือแคปเปญด้านการตลาดที่เราต้องการไปยังช่องทางต่างๆไปหาลูกค้าเป็นหมื่นๆคนโดยภายในเวลาไม่กี่วินาที ทาง Salesforce ยังบอกไว้อีกว่า การนำ Salesforce มาใช้ช่วยเพิ่มproductivity ได้มากถึง 34%

สรุป

ผสรุปได้ว่า Salesforce ได้กลายเป็นผู้เปลี่ยนเกมในโลกของธุรกิจในการจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้า(CRM) เพิ่มความคล่องตัวในการดำเนินงาน และระบบ Automation อีกทั้งยังมีการทำงานบนคลาวด์ซึ่งสะดวกสบายทำให้ทุกฝ่ายเข้าถึงและทำงานร่วมกันได้อย่างง่าย Salesforce จึงกลายเป็นโซลูชันที่นำไปสู่ธุรกิจทุกขนาดและทุกอุตสาหกรรม ตั้งแต่สตาร์ทอัพไปจนถึงองค์กรข้ามชาติ ไม่ว่าคุณจะต้องการเพิ่มยอดขาย ปรับปรุงความพึงพอใจของลูกค้า หรือปรับปรุงความพยายามทางการตลาดของคุณ Salesforce มีความสามารถที่จะช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมาย ดังนั้น หากคุณยังไม่ได้ดำเนินการ ก็ถึงเวลาเข้าร่วมกับธุรกิจหลายล้านแห่งทั่วโลกที่เปลี่ยนมาใช้ Salesforce และสัมผัสกับประโยชน์ของแพลตฟอร์มอันทรงพลังนี้ด้วยตัวคุณเอง

ธุรกิจที่ใช้ Salesforce รับรู้ถึงประสิทธิภาพโดย 64% ของลูกค้า Salesforce ในปัจจุบันวางแผนที่จะเพิ่มงบประมาณ Salesforce

ในเส้นทางของธุรกิจ Salesforce กล่าวไว้ว่ามีสองอย่างที่คุณทำนั่นคือคุณกำลังผลักดันตัวเองไปข้างหน้าหรือไม่ก็ถูกดึงให้จมดิ่งลงไป และด้วยความช่วยเหลือจาก Salesforce องค์กรของคุณจะสามารถเอาชนะคู่แข่งและการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของสังคมในปัจจุบันได้

 

Get on the path to faster sales! 
Watch a guided tour or try free trial now!

มาร่วมทดลอง Salesforce CRM #1 กันเถอะ

ทดลองฟรี
Omnichannel
บทความ

Omni channel คืออะไร? และมีประโยชน์อย่างไรต่อธุรกิจ

Omnichannel คืออะไร?

Omnichannel คือการจัดการธุรกิจหรือการติดต่อลูกค้าโดยการรวบรวมช่องทางหลายช่องทางไม่ว่าจะเป็นออนไลน์หรือออฟไลน์และช่องทางต่างๆเหล่านั้นจะต้องเชื่อมต่อกันและมีข้อมูลอัพเดทของลูกค้าเสมอ เช่น เว็บไซต์, โทรศัพท์, อีเมล, แชทบอท แอปพลิเคชัน หรือหน้าร้าน โดยที่ลูกค้าสามารถสื่อสารหรือเข้าถึงข้อมูลได้จากช่องทางที่ต้องการโดยไม่ต้องเริ่มต้นใหม่ในช่องทางอื่น นอกจากนี้ความรวดเร็วและความสะดวกในการใช้งานก็เป็นจุดเด่นของการใช้ระบบ Omnichannel ในธุรกิจ

Omnichannel กับหน้าร้านในปัจจุบัน

การช้อปปิ้งออนไลน์และอีคอมเมิร์ซอาจมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องแต่การมีหน้าร้านก็ยังคงมีบทบาทสำคัญในชีวิตของผู้บริโภค ผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังคงชอบการเลือกซื้อของที่หน้าร้านค้าจริงมากกว่าการช้อปปิ้งออนไลน์ แม้ว่าบทบาทของร้านค้าจะเปลี่ยนแปลงไปก็ตาม ผู้ค้าปลีกและลูกค้าต่างเริ่มตระหนักถึงบริบทของร้านค้าที่เปลี่ยนไปการมีหน้าร้านทุกวันนี้เหมือนเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือและให้ลูกค้าได้มาได้ทดลองและสัมผัสกับสินค้าจริงเพราะส่วนใหญ่แล้วลูกค้าจะไปซื้อผ่านช่องทางออนไลน์หลังจากได้ลองที่หน้าร้านเนื่องจากทางช่องทางออนไลน์มีโปรโมชั่นที่มากกว่า

ร้านค้าจำนวนมากในปัจจุบันมีการส่งเสริมแนะนำกิจกรรมภายในร้านเพื่อสร้าง community เช่น การเชิญ Influencer ให้มารีวิวสินค้า หรือ KOL ให้มาสาธิตและวิธีการใช้ผลิตภัณฑ์และมีการสะสมแต้มคะแนนหน้าร้านโดยแต้มที่สะสมนั้นเราสามารถเรียกดูและใช้งานได้ทั้งแบบออฟไลน์และออนไลน์นี่คือตัวอย่างการทำ Omnichannel

โดยหลักแล้ว Omnichannel จะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจโดยการรวมช่องทางหน้าร้านและช่องทางออนไลน์เข้าด้วยกันเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับ Customer Journey เพื่อทำให้เกิดความพึงพอใจของลูกค้าให้ได้มากที่สุด

Omnichannel มีประโยชน์ต่อธุรกิจอย่างไร

Omnichannel กำลังกลายเป็นมาตรฐานใหม่อย่างรวดเร็วในปัจจุบัน จากรายงานของ Coresight ระบุว่า 74% ของผู้ค้าปลีกได้เริ่มใช้กลยุทธ์ Omnichannel หรือได้ดำเนินการไปแล้ว ธุรกิจที่ยังไม่ได้เริ่มคิดเกี่ยวกับกลยุทธ์ Omnichannel จะมีกำลังขับเคลื่อนไปในทางที่เชื่องช้าทำให้ไม่มี Competitive advantage

ในรายงาน Salesforce ปี 2019 ระบุไว้ว่า67% ของลูกค้าใช้หลายช่องทางในการที่จะซื้อสินค้าหนึ่งชิ้นหมายความว่าลูกค้าต้องสลับไปมาหลายแอพข้อมูลไม่ต่อเนื่องยกตัวอย่างมีการคุยกับพนักงานบน Facebook แต่ลูกค้าต้องการสั่งสินบ้าบน Ecommerce แต่ต้องกรอกทุกอย่างใหม่ทั้งหมดซึ่งหมายความว่าธุรกิจที่ไม่ได้นำเสนอการมีส่วนร่วมแบบหลายช่องทางและกำลังมอบประสบการณ์ที่ต่ำกว่ามาตรฐานให้กับลูกค้าเหล่านี้ สำหรับผู้บริโภคจำกว่า 40% บอกไว้ว่า Omnichannel พวกเขาจะไม่ซื้อสินค้าหรือใช้บริการหากไม่สามารถใช้ช่องทางที่ต้องการได้แบบต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม รายงาน Coresight ยังแสดงให้เห็นว่ามีเพียง 34% ของบริษัทเท่านั้นที่มาถึงขั้นตอน ‘การดำเนินการ’ หรือ ‘การทำให้เป็นจริง’ ของการเติบโตแบบหลายช่องทางดังนั้นองค์กรเหล่านั้นจึงผูกขาดความพึงพอใจและประสบการณ์ที่ดีในการซื้อของลูกค้า ตัวเลขนี้จำเป็นต้องเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อประโยชน์ของทั้งธุรกิจและลูกค้า

เหตุผล 5 ประการที่ธุรกิจต่างๆ เลือกใช้กลยุทธ์ Omnichannel

1. ช่วยทำให้ Customer lifetime value ดีขึ้น
มูลค่าตลอดชีวิตของลูกค้านั้นหมายถึง การที่ลูกค้านั้นสร้างมูลค่าให้กับธุรกิจของคุณในช่วงชีวิตหนึ่ง โดยหากให้อธิบายง่ายๆก็คือการที่ลูกค้าซื้อสินค้าหรือสนับสนุนกิจกรรมต่างๆของธุรกิจมาโดยตลอด ลูกค้าอาจสนับสนุนสินค้าของคุณมาตั้งแต่สมัยที่เป็นนักเรียนนักศึกษาจนสู่วัยทำงาน Omnichannel ให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นอันดับแรกและไม่น่าแปลกใจที่ผู้นำร้านค้าปลีกมองว่าเป้าหมายระยะยาวมีความสำคัญอย่างยิ่ง รายงาน Coresight แสดงให้เห็นว่า 53% ของผู้ค้าปลีกชั้นนำในยุโรประบุว่าการเพิ่มคุณค่าตลอดอายุการใช้งานของลูกค้าเป็นเหตุผลสำหรับการใช้Omnichannel ขณะที่ผู้ค้าปลีกรายอื่นเพียง 34% รู้สึกเช่นเดียวกัน

2.เข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่
กลยุทธ์ Omnichannel เป็นประโยชน์ต่อธุรกิจโดยทำให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ได้ง่ายเนื่องจากร้านค้าหรือธุรกิจของเราจะเข้ามาอยู่เกือบทุกช่องทางบนโลกออนไลน์  และการเข้าถึงลูกค้าใหม่ก็ถือว่าเป็นกุญแจสำคัญในการเติบโต

3.เพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน
Omnichannel  ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและต้นทุนที่ลดลง ด้วยกลยุทธ์ Omnichannel ธุรกิจแค่ต้องรวบรวมข้อมูลของลูกค้าเพียงครั้งเดียว แทนที่จะเก็บข้อมูลทุกของลูกค้าทุกครั้งในทุกๆช่องทาง ดังนั้น Omnichannel จึงทำให้ประสิทธิภาพในบริษัทเพิ่มขึ้นได้และถ้ายิ่งใช้กับ CRM ก็จะยิ่งทำให้บริษัทสามารถลดต้นทุนไปได้เป็นอย่างมาก

4.เพิ่มยอดขาย
ยอดขายที่เพิ่มขึ้นเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับผู้ค้าปลีกที่ต้องการเพิ่มรายได้ การศึกษาของ Harvard Business Review แสดงให้เห็นว่าลูกค้า Omnichannel ใช้จ่ายออนไลน์มากกว่าผู้บริโภคช่องทางเดียวถึง 10% (single-channel consumers) เป็นที่ชัดเจนว่าผู้ค้าปลีกชั้นนำของโลกให้ความสำคัญกับการเติบโตในระยะยาวและกำลังมองประโยชน์ของกลยุทธ์Omnichannel ว่าเป็นกลยุทธ์เชิงโครงสร้าง

สรุป

การมีแนวทางแบบ Omnichannel สามารถให้ประโยชน์มากมายแก่บริษัท เช่น เพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า ปรับปรุงความภักดีต่อแบรนด์(Loyalty) และเพิ่มยอดขาย ด้วยการสร้างประสบการณ์ของลูกค้าให้ราบรื่นและสอดคล้องกันในหลายช่องทางการจำหน่ายหรือการให้บริการ เราจึงต้องตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ ไม่ว่าลูกค้าจะเลือกสื่อสารหรือซื้อของกับร้านของคุณอย่างไร ด้วยการเพิ่มขึ้นของเทคโนโลยีดิจิทัลและความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับประสบการณ์ส่วนบุคคล(Personalized) การใช้ Omnichannel จะช่วยให้ธุรกิจของคุณได้เปรียบในการแข่งขันและช่วยเตรียมพร้อมสำหรับความสำเร็จในระยะยาว

 

Get on the path to faster sales! 
Watch a guided tour or try free trial now!

มาร่วมทดลอง Salesforce CRM #1 กันเถอะ

ทดลองฟรี
1 2 3 4 5

ร่วมทดลอง CRM #1 ของโลกฟรี 30 วัน

Get a Quote

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรังปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ

Save