Blog

Salesforce service
บทความ

Salesforce สำหรับการบริการลูกค้าและการสนับสนุน

เริ่มต้นกันที่ Salesforce Salesforce เป็นแพลตฟอร์ม CRM (Customer Relationship Management) ชั้นนำที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถจัดการลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสบความสำเร็จในการบริการลูกค้าและการสนับสนุน. ด้วยความสามารถที่หลากหลายและโมดูลที่ครอบคลุมทั้ง Service Cloud, Case Management, และ Knowledge Base, Salesforce เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการสร้างประสบการณ์ลูกค้าที่ยอดเยี่ยม.

โมดูลที่เกี่ยวข้องกับการบริการลูกค้าและการสนับสนุน

Salesforce มีโมดูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบริการลูกค้าและการสนับสนุนที่ช่วยให้ธุรกิจให้บริการลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ. โมดูลที่น่าสนใจได้แก่:

Service Cloud: Service Cloud เป็นโมดูลหลักของ Salesforce ที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถให้บริการลูกค้าและการสนับสนุนที่ยอดเยี่ยม. ด้วยคุณสมบัติที่ทรงพลังเช่น ระบบการติดตามและจัดการเคสอัตโนมัติ, การสร้างและการดูแลฐานความรู้ในการแก้ไขปัญหาของลูกค้า, และการให้บริการผ่านช่องทางหลากหลาย เช่น เว็บไซต์, อีเมล, และโทรศัพท์.

Case Management: การจัดการเคสเป็นส่วนสำคัญในการบริการลูกค้า และ Salesforce มีโมดูล Case Management ที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถติดตามและจัดการเคสของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ. การใช้งานโมดูลนี้ช่วยให้ทีมงานสามารถรับเคส, ดำเนินการแก้ไขปัญหา, และติดตามความคืบหน้าได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ.

Knowledge Base: ฐานความรู้เป็นสิ่งสำคัญในการให้บริการลูกค้า. Salesforce มีโมดูล Knowledge Base ที่ช่วยให้ธุรกิจสร้างและบริหารจัดการฐานความรู้เพื่อให้บริการลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ. โมดูลนี้ช่วยให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงข้อมูล, คำแนะนำ, และข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการของธุรกิจได้ง่ายขึ้น.

ตัวอย่างการใช้งาน Salesforce สำหรับการบริการลูกค้าและการสนับสนุน

เพื่อให้เห็นภาพรวมของการใช้งาน Salesforce สำหรับการบริการลูกค้าและการสนับสนุนมากยิ่งขึ้น

บริษัท XYZ ใช้ Salesforce Service Cloud เพื่อติดตามและจัดการเคสของลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ. โดยทีมบริการลูกค้าสามารถรับเคสจากลูกค้าผ่านช่องทางออนไลน์และโทรศัพท์ ระบบจะทำการอัตโนมัติในการแจ้งเตือนและมอบหมายเคสให้กับพนักงานที่เหมาะสม ทีมงานสามารถติดตามความคืบหน้าในการแก้ไขเคสและให้ข้อมูลกับลูกค้าได้ในเวลาที่เหมาะสม.

บริษัท ABC ใช้ Salesforce Knowledge Base เพื่อสร้างฐานความรู้และคำแนะนำสำหรับลูกค้า. พนักงานบริการลูกค้าสามารถเข้าถึงฐานความรู้ผ่านระบบ Salesforce และสามารถใช้ข้อมูลนี้ในการตอบคำถามและแก้ไขปัญหาของลูกค้าอย่างรวดเร็ว. นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชันการสร้างข้อมูลอัตโนมัติเพื่อเติมเต็มฐานความรู้ใหม่ๆ และแก้ไขข้อมูลที่เก่าในระบบ.

ข้อดีของการใช้ Salesforce สำหรับการบริการลูกค้าและการสนับสนุน

-บริษัทสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการลูกค้าและการสนับสนุน
-สร้างประสบการณ์ลูกค้าที่ดีและมีคุณภาพ
-ช่วยให้ทีมงานบริการลูกค้าทำงานได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
-สร้างและบริหารจัดการฐานความรู้ที่สำคัญสำหรับทีมงานบริการลูกค้า

สรุป

ในบทความนี้เราได้เขียนข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับ Salesforce สำหรับการบริการลูกค้าและการสนับสนุนและภาพรวมเกี่ยวกับโมดูลที่สำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพในด้านนี้ การใช้ Salesforce สามารถช่วยให้ธุรกิจของคุณมีการบริการลูกค้าที่ดีและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังสร้างฐานความรู้ที่สำคัญและช่วยให้ทีมงานบริการลูกค้าทำงานได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นด้วย

Get on the path to faster sales! 
Watch a guided tour or try free trial now!

มาร่วมทดลอง Salesforce CRM #1 กันเถอะ

ทดลองฟรี
Einstein GPT
บทความ

ทำความรู้จักกับ Einstein GPT (generative AI)

Einstein GPT เป็นนวัตกรรมเจนเนอเรชั่นใหม่ล่าสุดจากทาง Salesforce โดยตัว Einstein ซึ่งเป็นเทคโนโลยี AI ของ Salesforce ที่สร้าง Predictions กว่า 200 พันล้านครั้งต่อวันบนระบบ CRM แบบเรียลไทม์อย่าง Customer 360 ซึ่งการ ‘ผสานโมเดล AI ของ Einstein เข้ากับ ChatGPT’ หรือโมเดลภาษาชั้นนำอื่น ๆ ลูกค้าสามารถใช้ Natural-Language Prompts ภายใต้ระบบข้อมูล CRM เพื่อเข้าใช้งานระบบอัตโนมัติ ซึ่งจะช่วยให้ประหยัดเวลาและสร้างคอนเทนต์ได้เฉพาะตัวมากยิ่งขึ้น

Einstein GPT ถูกสร้างขึ้นโดยรวมข้อมูลจาก ‘Business Partner Salesforce Ecosystem’ และ ‘ข้อมูลของลูกค้าที่มีอยู่แบบเรียลไทม์จากแพลตฟอร์ม Salesforce Data Cloud’ ซึ่งนำมาเชื่อมต่อกับ ‘OpenAI’ และโมเดลอื่น ๆ ที่ใช้ในธุรกิจ โดยลูกค้าสามารถใช้ Natural-language prompts ภายใต้ระบบ CRM ของ Salesforce เพื่อสร้างคอนเทนต์หรือข้อความอัตโนมัติ

ประโยชน์ของ Einstein GPT ในด้านต่างๆ

เช่น Einstein GPT for Sales ช่วยในงานขายเช่นการร่างอีเมล, สร้างตารางการประชุม และการโต้ตอบในบทสนทนาแบบอัตโนมัติ

Einstein GPT for Service ช่วยในงานบริการเพื่อสร้างเอกสารและตอบกลับลูกค้าด้วยเนื้อหาเฉพาะบุคคล

Einstein GPT for Marketing ช่วยในงานการตลาดเพื่อสร้างคอนเทนต์ที่มีเนื้อหาเจาะจงและ personalized ผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่นอีเมล, โทรศัพท์มือถือ, เว็บไซต์ และโฆษณา, Einstein GPT for Slack Customer 360 apps เพิ่มประสิทธิภาพการนำเสนอข้อมูลลูกค้าผ่าน AI บนแอปพลิเคชัน Slack, Einstein GPT for Developers ช่วยในการสร้างโค้ดและสร้างคำถามสำหรับภาษาต่าง ๆ เช่น Apex เป็นต้น

Einstein GPT สามารถทำงานร่วมกับโมดูลต่าง ๆ ของ Salesforce ในแต่ละงาน เช่นช่วยฝ่ายขายร่างอีเมล, บอตตอบลูกค้าอัตโนมัติ, สร้างสรรค์เนื้อหาเว็บไซต์สำหรับลูกค้า, ทำสรุปเนื้อหาเพื่อการนำเสนอ และช่วยเขียนโค้ดได้ด้วย

นอกจากนี้ Slack ยังประกาศรองรับแอปย่อย ChatGPT สำหรับ Slack ซึ่งเป็นตัวช่วยสำหรับงานต่าง ๆ เช่นการเขียนสรุปเนื้อหาจากห้องแชท, การค้นหาคำตอบจากคำถามในการสนทนา และการร่างจดหมายหรือข้อความตอบ

สรุป

Salesforce Einstein GPT เป็นโมเดล AI ที่มีประสิทธิภาพที่ช่วยให้ธุรกิจใช้ประโยชน์จากการ Generative AI สำหรับกรณีการใช้งานต่างๆด้วยความสามารถในการทำความเข้าใจและสร้างข้อความที่เหมือนมนุษย์ Einstein AI สามารถปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้าได้อย่างมากปรับปรุงกระบวนการทางธุรกิจ และขับเคลื่อนการเติบโต การทำตามขั้นตอนการเตรียมข้อมูลและการประมวลผลล่วงหน้า การฝึกอบรมโมเดลภาษา

การปรับแต่งสำหรับงานเฉพาะ ธุรกิจสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีนี้อย่างเต็มที่จึงทำให้ได้เปรียบในการแข่งขันในอุตสาหกรรม และด้วยศักยภาพในการสร้างสรรค์นวัตกรรมและการเปลี่ยนแปลงจึงไม่น่าแปลกใจที่ธุรกิจต่างๆ กำลังมองหาการนำ EinsteinGPT ไปใช้ในการดำเนินงานมากขึ้นเรื่อยๆในปัจจุบัน

Get on the path to faster sales! 
Watch a guided tour or try free trial now!

มาร่วมทดลอง Salesforce CRM #1 กันเถอะ

ทดลองฟรี
B2C ควรใช้ Salesforce
บทความ

ทำไมธุรกิจกลุ่ม B2C ควรที่จะใช้ระบบ CRM ?

การดำเนินธุรกิจกลุ่ม B2C ( Business-to-Customer) ต้องการระบบที่จะเข้ามาช่วยจัดการกับลูกค้าที่มีความซับซ้อนและมีปริมาณมาก จึงเป็นที่มาของการที่จะต้องตอบสนองต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้นของลูกค้า และการเชื่อมต่อกับ Partner และช่องทางการขายอื่น ๆ การใช้ Salesforce เป็นเครื่องมือที่สำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจ B2C สามารถดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3 เหตุผลที่กลุ่มธุรกิจ B2C ควรใช้ Salesforce

1.การจัดการลูกค้าที่เป็นระบบ: Salesforce มีระบบการจัดการลูกค้าที่เป็นระบบที่มีประสิทธิภาพสำหรับธุรกิจ B2C ในการติดตามข้อมูลลูกค้า การซื้อขาย และการสื่อสาร ทั้งการบันทึกข้อมูลลูกค้า การติดตามประวัติการสั่งซื้อ การจัดตารางการติดต่อลูกค้า และการสร้างการติดตามลูกค้าอัตโนมัติ เพื่อให้ธุรกิจสามารถให้บริการที่ยอดเยี่ยมแก่ลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2.การเพิ่มประสิทธิภาพในการขาย: Salesforce มีคุณสมบัติที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการขายของธุรกิจ B2C ผ่านการจัดการข้อมูลลูกค้า เครื่องมือการบริหารการขายออนไลน์ การติดตามและการประเมินผลการขาย ซึ่งช่วยให้ธุรกิจสามารถตรวจสอบประสิทธิภาพของทีมขาย วิเคราะห์การขาย และพัฒนายอดขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3.การเข้าถึงข้อมูลและการวิเคราะห์: Salesforce มีการรวมข้อมูลลูกค้าที่ทันสมัยและการวิเคราะห์ข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ ที่ช่วยให้ธุรกิจ B2C สามารถปรับปรุงกลยุทธ์การตลาด การสร้างสินค้าและบริการใหม่ และการทำเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ทันสมัยได้ นอกจากนี้ การวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้ายังช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าใจลูกค้าในระดับลึกมากขึ้น เพื่อให้สามารถให้บริการที่ตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สรุป

B2C หรือธุรกิจที่เน้นขายสินค้าหรือบริการตรงไปยังผู้บริโภคทั่วไป, เป็นกลยุทธ์การตลาดที่เน้นการเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคโดยตรง องค์ประกอบหลักของธุรกิจ B2C คือความสะดวกในการเข้าถึงผู้บริโภค ซึ่งสามารถขายผ่านช่องทางออนไลน์หรือสื่อโซเชียลได้อย่างง่ายดายและมีความหลากหลายในการเสนอสินค้าหรือบริการ

ธุรกิจประเภท B2C มักเน้นการตอบโจทย์ที่เป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคทั่วไป และมีการเฉพาะเจาะจงตามตลาดผู้บริโภค อย่างเช่นการขายเครื่องสำอางค์ ขายเสื้อผ้า ขายอาหาร ขายเครื่องซักผ้า ขายรถยนต์ ให้บริการทำเล็บ หรือบริการทัวร์ และอื่น ๆ

ในปัจจุบัน, ธุรกิจประเภท B2C มักใช้ช่องทางออนไลน์และสื่อโซเชียลเป็นหลักในการเผยแพร่สินค้าหรือบริการ เนื่องจากช่องทางเหล่านี้ช่วยให้เข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็วและมีความหลากหลายในการเลือกซื้อมากขึ้น

Get on the path to faster sales! 
Watch a guided tour or try free trial now!

มาร่วมทดลอง Salesforce CRM #1 กันเถอะ

ทดลองฟรี
CRM ช่วยให้ธุรกิจเติบโต
บทความ

กุญแจสำคัญของ CRM ที่ทำให้ธุรกิจเติบโต

วันนี้เราจะพาทุกคนมาดูกันว่าอะไรคือกุญแจสำคัญในการใช้ระบบ CRM เพื่อให้ธุรกิจเติบโตขึ้น 

แน่นอนว่าลูกค้าคือหัวใจสำคัญของธุรกิจหากไม่มีลูกค้าธุรกิจก็ไม่สามารถที่จะอยู่ได้ เพราะเหตุนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจที่จะต้องมีการบริการลูกค้าที่ดีหากไม่มีการบริการที่ดีและรวดเร็วก็อาจจะทำให้สูญเสียลูกค้าไปกับคู่แข่งได้มากไปกว่านั้นแพลตฟอร์มการจัดการลูกค้าสัมพันธ์ (CRM) จะช่วยให้เข้าใจลูกค้าและความต้องการได้ดียิ่งขึ้น โดยการเก็บข้อมูลของลูกค้า Customer journey ตั้งแต่ต้นจนถึงปิดการขาย

CRM มีความจำเป็นต่อความสำเร็จในธุรกิจระยะยาว

แพลตฟอร์มการจัดการลูกค้าสัมพันธ์ (CRM) มีความสำคัญต่อความสำเร็จของธุรกิจ ธุรกิจต่างๆสามารถจัดการการสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยเพิ่มโอกาส และปรับปรุงการบริการลูกค้าโดยการทำงานอัตโนมัติและทำหน้าที่เป็นศูนย์รวบรวมข้อมูลลูกค้า

มาดู 5 เหตุผลว่าทำไมแพลตฟอร์ม CRM จึงมีความสำคัญต่อความสำเร็จขององค์กร

1. การจัดเก็บและการบริหารข้อมูลลูกค้า: การนำเข้าและจัดเก็บข้อมูลลูกค้าให้เป็นระบบชัดเจนจะช่วยให้ธุรกิจมีฐานข้อมูลที่เต็มเปี่ยมด้วยข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับลูกค้า ทำให้สามารถวิเคราะห์และเข้าใจลูกค้าได้อย่างละเอียด และสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น การบริหารจัดการข้อมูลลูกค้าด้วย CRM จะช่วยประหยัดเวลาและทรัพยากรในการค้นหาข้อมูล และเพิ่มความมั่นใจในความถูกต้องและความสมบูรณ์ของข้อมูลลูกค้าเพื่อการตัดสินใจที่ดีขึ้น

2. การสร้างความสัมพันธ์และความลึกซึ้งกับลูกค้า: CRM ช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าได้อย่างราบรื่น โดยให้ข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมซื้อขายของลูกค้า ประวัติการติดต่อ และความต้องการอื่นๆ เพื่อให้ธุรกิจสามารถตอบสนองและบริการลูกค้าในระดับที่สูงขึ้น การสร้างความลึกซึ้งในความต้องการและความพึงพอใจของลูกค้าจะช่วยเพิ่มความภาคภูมิใจและความลุ่มลึกในธุรกิจ

3. การวิเคราะห์และการนำเสนอข้อมูล: CRM ช่วยให้ธุรกิจสามารถวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว ด้วยรายงานและแดชบอร์ดที่สร้างขึ้นมาเฉพาะ ธุรกิจสามารถเก็บข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับลูกค้า วิเคราะห์แนวโน้ม และจัดทำรายงานที่ช่วยในการตัดสินใจทางธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ

4. การติดตามและการบริการหลังขาย: CRM ช่วยให้ธุรกิจสามารถติดตามการซื้อขายและการบริการหลังขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถตรวจสอบสถานะของคำสั่งซื้อ ประวัติการสั่งซื้อ และการติดตามปัญหาหรือข้อร้องเรียนของลูกค้า เพื่อให้ธุรกิจสามารถให้บริการลูกค้าในระยะยาวได้ดีขึ้นและสร้างความพึงพอใจในลูกค้า

5. การปรับปรุงกระบวนการธุรกิจ: CRM ช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับปรุงกระบวนการธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยการวิเคราะห์และปรับปรุงกระบวนการการขาย การบริการลูกค้า และการจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้า ด้วยข้อมูลที่เก็บรวบรวมจาก CRM ธุรกิจสามารถตรวจสอบปัญหาและพัฒนากระบวนการธุรกิจเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและผลิตภาพในการดำเนินธุรกิจได้

สรุป

จาก 5 ข้อด้านบนที่ผู้อ่านได้อ่านมาจะกุญแจสำคัญในการช่วยให้ธุรกิจประสบความสำเร็จแต่ในหลายๆธุรกิจอาจมีกุญแจและมุมมองที่แตกต่างกันไปตามความเฉพาะของธุรกิจและกลุ่มลูกค้าที่เป้าหมาย

Get on the path to faster sales! 
Watch a guided tour or try free trial now!

มาร่วมทดลอง Salesforce CRM #1 กันเถอะ

ทดลองฟรี
Mulesoft คืออะไร
บทความ

Mulesoft คืออะไร

วันนี้เราจะพาทุกคนมารู้จักกับซอฟแวร์ที่ชื่อว่า Mulesoft ตั้งแต่ประวัติของ Mulesoft, Mulesoft คืออะไร, Mulesoft ทำอะไรได้ และ Mulesoft มีประโยชน์อย่างไร

ประวัติของ Mulesoft

MuleSoft เป็นบริษัทที่เชี่ยวชาญในการทำโซลูชัน integration โดยก่อตั้งขึ้นในปี 2006 โดยคุณ Ross Mason และ Dave Rosenberg โดยมีเป้าหมายเพื่อลดความซับซ้อนในการรวมแอปพลิเคชัน ข้อมูล และอุปกรณ์ภายในองค์กร โดยมีผลิตภัณฑ์เรือธงของ MuleSoft เรียกว่า Anypoint Platform โดยมีความสามารถรวมระบบที่ช่วยให้องค์กรสามารถเชื่อมต่อระบบต่าง ๆ แอปพลิเคชัน และแหล่งข้อมูลได้อย่างราบรื่น มันมีเครื่องมือและบริการที่ครอบคลุมอย่างครบถ้วนเพื่อออกแบบ สร้าง ปรับใช้ จัดการ และตรวจสอบการรวมระบบและ API (Application Programming Interfaces) ต่าง ๆ มากไปกว่านั้น MuleSoft เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว Salesforce มาตั้งแต่ปี 2018

ประโยชน์ของ Mulesoft

ฝ่ายไอทีใช้เวลา 71% ในการ “รวบรวมข้อมูลจากหลากหลายแอพลิเคชั่นให้กับบริษัท” ซึ่งเหลือเวลาเพียง 29% สำหรับ Innovation จากการวิจัยของ MuleSoft บอกไว้ว่าการรวบรวมข้อมูลจากหลากหลายแอพลิเคชั่นให้กับบริษัททำให้เป็นการขัดขวางธุรกิจจากการเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม

เมื่อบริษัทต่างๆ ใช้เครื่องมืออย่าง MuleSoft เพื่อเพิ่มเวลาด้าน IT และมอบโซลูชันแบบ low-code ให้กับทีม ทั้งองค์กรจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นและทำงานได้เร็วขึ้น มีข้อมูลรายงานว่าลูกค้าของ MuleSoft สามารถส่งมอบ Project ได้เร็วขึ้นถึงสามเท่า

และนี่คือตัวอย่าง 3 ข้อประโยชน์ของ Mulesoft

1.MuleSoft ช่วยให้องค์กรสามารถเชื่อมต่อและรวมระบบต่าง ๆ แอปพลิเคชัน และแหล่งข้อมูลได้อย่างราบรื่นมีเครื่องมือและคอนเนกเตอร์ต่างๆ ที่ช่วยลดความซับซ้อนในการเชื่อมต่อระบบและการเข้าถึงข้อมูล ส่งผลให้การแลกเปลี่ยนข้อมูลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการธุรกิจ และเพิ่มความร่วมมือระหว่างทีมงานและแผนกต่าง ๆ

2.Mulesoft พัฒนาแอปพลิเคชันอย่างรวดเร็ว Anypoint Platform ของ MuleSoft มีเครื่องมือและคุณสมบัติที่ช่วยเร่งการพัฒนาแอปพลิเคชัน นักพัฒนาสามารถใช้คอนเนกเตอร์ที่สร้างไว้ล่วงหน้า แม่แบบ และคอมโพเนนต์ที่ใช้ซ้ำได้เพื่อสร้างแอปพลิเคชันและบริการได้อย่างรวดเร็ว อินเทอร์เฟซแบบกราฟิกและความสามารถในการออกแบบ API ยังช่วยลดความซับซ้อนในกระบวนการพัฒนา ช่วยลดเวลาสู่ตลาดของแอปพลิเคชันอย่างรวดเร็วขึ้น

3. Mulesoft API มีความสามารถในการออกแบบ จัดการ และรักษา API ให้สมบูรณ์และมั่นคง ผู้ใช้สามารถสร้าง API และตั้งค่าการเข้าถึง การควบคุมอัตราการใช้งาน การตรวจสอบผลการใช้งานของ API และการจัดการรุ่นและ Cycle ของ API ได้อย่างเหมาะสม

Mulesoft กับฝ่าย IT?

ฝ่ายไอทีเป็นหนึ่งในทีมที่สำคัญที่สุดในองค์กรในปัจจุบัน โดยการทำงานจะต้องทำให้สิ่งต่างๆทำงานได้อย่างราบรื่น ป้องกันข้อมูลขององค์กร และผลักดันธุรกิจไปข้างหน้าด้วยเทคโนโลยีใหม่ ๆ

ข้อเสียของการเป็นที่ต้องการ? ทีมไอทีมีคำขอและแนวคิดใหม่ๆ ท่วมท้น และอาจเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะทำทุกสิ่งให้สำเร็จ มีทีมไอทีเพียง 44% เท่านั้นที่เสร็จสิ้นโครงการทั้งหมดที่ขอให้ทำในปีที่แล้ว — 52% ที่ส่งมอบล่าช้า ตามรายงานเกณฑ์มาตรฐานการเชื่อมต่อของ MuleSoft สิ่งนี้ทำให้ธุรกิจทั้งหมดช้าลง และความท้าทายเหล่านี้จะยากขึ้นในการเอาชนะเมื่อทักษะของผู้ปฏิบัติงานหายากขึ้นและงบประมาณที่เข้มงวดมากขึ้น

นั่นเป็นเหตุผลที่ MuleSoft เป้าหมายของเราคือการทำให้งานด้าน IT ง่ายขึ้น

สรุป

Mulesoft เป็นหนึ่งในเครื่องมือ Integration ที่ดีที่สุดในตลาดปัจจุบัน โดยเราสามารถเชื่อมต่อแอพพลิเคชั่นและแพลตฟอร์มต่างๆ ให้ความยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพในการผสานรวมแอปพลิเคชัน ในปัจจุบันเทคโนโลยีกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว และทุกคนต้องการข้อมูลที่อัปเดตตามเวลาจริง เช่น การดูแลสุขภาพ อีคอมเมิร์ซ ฯลฯ ในสถานการณ์เช่นนี้ Mulesoft เป็นโซลูชันที่ดีที่สุดสำหรับการเชื่อมต่อแอปพลิเคชันจำนวนมากและให้การอัปเดตตามเวลาจริงและอัพเดทในทุกๆช่องทางต่างๆได้พร้อมกัน

Get on the path to faster sales! 
Watch a guided tour or try free trial now!

มาร่วมทดลอง Salesforce CRM #1 กันเถอะ

3

ทดลองฟรี
ประโยชน์และข้อดีของ Omni channel
บทความ

ประโยชน์และข้อดีของ Omni channel

ท่ามกลางความคาดหวังของลูกค้าในปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา กลยุทธ์ Omnichannel ได้ขยายออกไปและมีอิทธิพลต่อลูกค้าทั่วโลก ครั้งหนึ่งเคยเป็นมีแต่ธุรกิจขนาดใหญ่และแบรนด์มูลค่าหลายพันล้านที่สามารถใช้ระบบ Omnichannel ได้ แต่ปัจจุบันได้กลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับบริษัทในทุกๆขนาด ปัจจุบันลูกค้าทั่วโลกกำลังมองหาประสบการณ์การซื้อที่เหมือนกับเวลาซื้อบนเว็บไซต์ Amazon เพียงแค่มีเว็บไซต์และการให้บริการลูกค้าที่ได้มาตรฐานนั้นไม่เพียงพออีกต่อไป เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในปัจจุบัน มากไปกว่านั้นธุรกิจต่างๆยังต้องสร้างความโดดเด่นในทุกด้านขององค์กรตนเอง ดังนั้น Omnichannel เลยเป็นคำตอบสำหรับธุรกิจในปัจจุบัน

ประโยชน์ของการตลาดแบบ Omnichannel

แนวโน้มการซื้อของลูกค้าในปัจจุบันไม่ใช่เส้นตรงอีกต่อไปหมายความว่าลูกค้าสามารถเข้าไปได้จากหลากหลายช่องทางในบางครั้งลูกค้าอาจจะเข้ามาชมสินค้าผ่านหน้าเว็บหรือโซเชียลมีเดียแต่สุดท้ายแล้วลูกค้าคนดังกล่าวอาจจะซื้อผ่านอีคอมเมิสหรือผ่านตัวเซลล์โดยตรง

key-benefits-of-omnichannel-marketing

revechat.com/blog/omnichannel-benefits/

1.ประสบการณ์ของลูกค้าที่ดีขึ้นและช่วยเพิ่ม Loyalty

การตลาดแบบ Omni จะมุ่งเน้นไปที่ประสบการณ์ทางการตลาดที่สอดคล้องกันผ่านจุดติดต่อและแพลตฟอร์มที่หลากหลาย (Customer touchpoints) ลูกค้าสามารถเข้าถึงแบรนด์ผ่านโฆษณา วิทยุ โฆษณา โซเชียลมีเดีย เว็บไซต์ ฯลฯ จากประโยชน์ของการตลาดแบบหลายช่องทางธุรกิจมีโอกาสที่จะเจอลูกค้าที่หลากหลายมากกว่าเดิมและทำ Personalization เพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายอีกครั้งเพื่อให้เกิดการซื้อ

2.การรับรู้แบรนด์เพิ่มมากขึ้น

การมีกลยุทธ์การตลาดแบบหลายช่องทางหมายความว่าลูกค้าจะได้รับประสบการณ์ที่สม่ำเสมอและราบรื่นในทุกช่องทางทุกครั้งที่พบแบรนด์หรือสินค้า ตัวอย่างเช่น หากลูกค้าได้รับประสบการณ์ส่วนบุคคล(Personalization) บนอุปกรณ์เคลื่อนที่ ดังนั้นบนคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อปก็ควรที่จะได้รับประสบการณ์ที่ประทับใจเหมือนกัน กลยุทธ์การตลาดหลายช่องทางที่ออกแบบมาอย่างดีเพื่อที่จะช่วยเพิ่มการรับรู้จากกลุ่มเป้าหมายหากแบรนด์ของคุณเคยทำการตลาดมาก่อนอย่างน้อยที่สุดลูกค้าก็คุ้นเคยกับชื่อแบรนด์และผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณสิ่งนี้สามารถช่วยให้คุณได้เปรียบเหนือคู่แข่งอย่างมาก

3.ช่วยเพิ่มรายได้ให้ธุรกิจ

ประโยชน์ที่สำคัญอย่างหนึ่งของการตลาดแบบหลายช่องทางคือการเพิ่ม ROI (ผลตอบแทนจากการลงทุน) ROI เป็นการวัดผลที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในทางการตลาด กลยุทธ์การตลาดแบบหลายช่องทางสามารถประสบความสำเร็จอย่างมาก เมื่อการมีส่วนร่วมของลูกค้าที่ดีขึ้นจะนำไปสู่ Conversion และรายได้ทางธุรกิจที่สูงขึ้น

สรุป

Omnichannel คือ การใช้ช่องทางต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกในการติดต่อและซื้อ-ขาย โดยให้ลูกค้าสามารถติดต่อแบรนด์ได้ทุกช่องทางโดยไม่มีความสะดุดตอบรับ แนวคิดหลักของ Omnichannel คือการเชื่อมโยงและซิงค์ข้อมูลทุกช่องทางเพื่อให้ธุรกิจเข้าใจลูกค้าและสร้างประสบการณ์ลูกค้าที่ดีขึ้น

กระบวนการในการทำ Omnichannel รวมถึงการเลือกใช้ช่องทางต่างๆ การเชื่อมต่อช่องทาง การมอบประสบการณ์ที่น่าประทับใจแก่ลูกค้า และการเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อใช้ให้เป็นประโยชน์ แม้ว่าการดูและดำเนินการในรูปแบบ Omnichannel อาจจะดูซับซ้อน แต่ธุรกิจสามารถใช้ซอฟต์แวร์หรือเครื่องมือเป็นตัวกลางในการดำเนินการได้

Get on the path to faster sales! 
Watch a guided tour or try free trial now!

มาร่วมทดลอง Salesforce CRM #1 กันเถอะ

ทดลองฟรี
Salesforce net zero cloud
บทความ

มาทำความรู้จักกับ Salesforce Net Zero Cloud

Net zero world คือโลกที่สมดุล การบรรลุเป้าหมาย Net Zero Cloud นั้นหมายถึงการที่ไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากเกินกว่าที่เราจะกำจัดออกไปได้ ไม่ว่าจะโดยวิธีธรรมชาติหรือผ่านการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย และตอนนี้โลกก็กำลังเข้าสู่สภาวะที่ร้อนขึ้นในทุกๆปี และในทุกๆ 5 ปีโลกจะอุณภูมิสูงขึ้นเฉลี่ย 5 องศา ดังนั้นจึงเกิดสิ่งที่เรียกว่า Salesforce Net Zero Cloud ขึ้นมาเพื่อคอยควบคุมและดูแลบริษัทต่างๆไม่ให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดมาตรฐานที่รัฐบาลของแต่ละประเทศได้กำหนดเอาไว้

Salesforce Net Zero Cloud คืออะไร ?

Salesforce Net Zero Cloud ก็คือซอฟแวร์โซลูชั่นที่จะเข้ามาคอยควบคุมและดูแลบริษัทต่างๆไม่ให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดมาตรฐานที่รัฐบาลของแต่ละประเทศได้กำหนดเอาไว้ ซึ่งเป้าหมายของ Net Zero Cloud คือการช่วยให้ลูกค้าสามารถสร้าง Carbon Footprint ที่แม่นยำและใช้งานได้จริงพร้อมสำหรับการตรวจสอบจากนักตรวจสอบคาร์บอนเพื่อให้เป็นไปตามกฏกหมายของแต่ละประเทศ

ในอนาคตจะมีสิ่งที่เรียกว่า Carbon credits

Carbon credits มีไว้เพื่อหลีกเลี่ยง ลด หรือกำจัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยมีหน่วยวัดเป็นเมตริกตันของคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO2e) ปริมาณก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gas: GHG) ที่สามารถลดหรือกักเก็บได้มาจากการดำเนินโครงการลดก๊าซเรือนกระจกผ่านกลไกต่างๆ เช่น การปลูกป่า การเพิ่มพื้นที่สีเขียว และการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอน ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ถูกลดหรือกักเก็บนี้จะถูกวัดในหน่วยตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (carbon dioxide equivalent: CO2e) โดยก๊าซเรือนกระจกที่รับการควบคุมตามพิธีสารเกียวโต (Kyoto Protocol) มีทั้งหมด 7 ชนิด ได้แก่ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ก๊าซมีเทน (CH4) ก๊าซไนตรัสออกไซด์ (N2O) ก๊าซไฮโดรฟลูออโรคาร์บอน (HFC) ก๊าซเพอร์ฟลูออโรคาร์บอน (PFC) ก๊าซซัลเฟอร์เฮกซะฟลูออไรด์ (SF6) และก๊าซไนโตรเจนไตรฟลูออไรด์ (NF3) ประเทศที่มีการควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสามารถใช้ก๊าซเรือนกระจกที่ลดหรือกักเก็บได้เป็นเครดิต โดยองค์กรที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนดสามารถขายเครดิตก๊าซเรือนกระจกให้กับองค์กรอื่นๆ

Salesforce Net Zero Cloud แตกต่างกับโปรแกรมอื่นๆอย่างไร ?

Net Zero Cloud ช่วยให้จัดการการปล่อยมลพิษทั่วทั้งระบบนิเวศขององค์กรรวมไปถึงซัพพลายเออร์ของบริษัทและที่เป็นพาร์ทเนอร์กับเรา และยังสามารถตั้งเป้าหมาย Science Based Targets และวัดความก้าวหน้าโดยสามารถวัดความเข้มของพลังงานในอาคาร (BEI) โดยใช้ Net Zero Cloud ซึ่งช่วยให้รายงานการใช้พลังงานของอาคารได้ทันที สิ่งที่ทำให้ Net Zero Cloud แตกต่างจากเครื่องมือบัญชีคาร์บอนอื่นๆ คือวิธีการทำงานอย่างราบรื่นกับโซลูชัน Salesforce ระดับโลกอื่นๆ เช่น Tableau CRM, Slack และ Sales Cloud

สรุป

Carbon accounting จะเข้าไปอยู่ในระบบของทุกองค์กรภายในไม่ช้า ซึ่งปัจจุบันเป็นเวลาที่ดีที่เราจะได้คิดวางแผนพูดกับไม่ว่าจะเป็นกับคนในองค์กร ซัพพลาย หรือ พาร์ทเนอร์ของเราเกี่ยวกับการหาวิธีที่จะจัดการบัญชีคาร์บอนของพวกเขา  Salesforce Net Zero Cloud จะช่วยให้องค์กรต่างๆบรรลุเป้าหมายคาร์บอนได้อย่างถูกต้อง ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ

Get on the path to faster sales! 
Watch a guided tour or try free trial now!

มาร่วมทดลอง Salesforce CRM #1 กันเถอะ

ทดลองฟรี
Salesforce customer success
บทความ

Salesforce customer success กับบริษัท Axa Singapore

แอกซ่าสิงคโปร์ได้บอกไว้ว่า

“Salesforce ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงวิธีการขาย บริการ และการมีส่วนร่วมกับลูกค้าแบบองค์รวมหมายถึงทั้งฝ่ายขาย และ ฝ่ายการตลาด รวมถึงฝ่ายบริการหลังการขายสามารถเห็นข้อมูลลูกค้าได้แบบเดียวกันทั้งหมดเช่น ประวัติการซื้อขาย ช่องทางที่ลูกค้าเข้ามา และการแชทพูดคุยระหว่างเจ้าหน้าที่และลูกค้า และจำเป็นต้องย้ายจากระบบที่ปกติที่ใช้กันอยู่ไปสู่แนวทางแพลตฟอร์ม Salesforce ที่ช่วยพลิกโฉมให้กับธุรกิจธุรกิจ”

การมีส่วนร่วมของลูกค้า AXA Singapore กับ Salesforce

ในฐานะหนึ่งในบริษัทประกันภัยชั้นนำของโลก AXA Singapore ต้องการช่วยให้ลูกค้าใช้ชีวิตด้วยความอุ่นใจมากขึ้นนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ช่วยปกป้องลูกค้าจากความเสี่ยงต่างๆและกำลังเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล

“โดยวิสัยทัศน์ของเรานั้นเรียบง่ายมากเราต้องการเป็นบริษัทประกันดิจิทัลที่ดีที่สุดเพื่อสร้างคุณค่าและความแตกต่างให้กับลูกค้าและคู่ค้าของเรา” Tomasz Kurczyk หัวหน้าฝ่ายการเปลี่ยนแปลงและเจ้าหน้าที่ด้านดิจิทัลของ AXA Singapore กล่าว

ความจริงนั้นซับซ้อนกว่านั้นมาก ลูกค้าคาดหวังผลิตภัณฑ์และบริการที่เกี่ยวข้องมากขึ้นและปรับให้เหมาะกับความต้องการของพวกเขา(Personalization) ในขณะเดียวกัน การจัดส่งข้อมูลหรือข้อความผ่านทุกช่องทางได้กลายเป็นมาตรฐานไปแล้วในปัจจุบันเพื่อสร้างความประทับใจกับลูกค้าซึ่งส่งผลให้ Customer satisfaction เพิ่มเมื่อ Customer satisfaction เพิ่มก็จะส่งผลต่อไปยัง Customer loyalty ทำให้ลูกค้านั้นอยากอยู่กับเราไปตลอด

Omni-channel และ Single view of customer คือรากฐานสำคัญ

มุมมองเดียวของลูกค้าหรือที่เรียกว่า Single view of customer เป็นรากฐานสำหรับการให้บริการแบบ Omnichannel
แอกซ่าสิงคโปร์ได้พัฒนาระบบดิจิทัลใหม่ ซึ่งครอบคลุมการขาย การบริการ และการตลาด แพลตฟอร์มความสำเร็จของลูกค้า โดยใช้ Salesforce เป็นหนึ่งในองค์ประกอบหลักเพื่อให้เกิด Single view of customer

Kurczyk กล่าวว่ามุมมองของลูกค้าในปัจจุบันมีความสำคัญต่อการนำเสนอประสบการณ์แบบหลายช่องทาง(Omnichannel) และจะต้องมีการใช้งานระบบอัตโนมัติให้มากขึ้น(Automation) ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่เป็นส่วนตัวมากขึ้นทั้งทางโทรศัพท์และผ่านช่องทางดิจิทัล และด้วยโซลูชั่น Marketing Cloud ทำให้ AXA Singapore สามารถให้เนื้อหา คำแนะนำ และข้อเสนอตามโปรไฟล์ของลูกค้าเฉพาะบุคคลได้ นอกจากนี้ยังสามารถทดสอบและวัดผลการสื่อสารเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการมีส่วนร่วมของลูกค้า

“Salesforce เรามีข้อมูลเชิงลึกมากขึ้นเกี่ยวกับลูกค้าของเรา และสามารถปรับแต่งและทำให้จุดสัมผัสเป็นแบบอัตโนมัติ(Touchpoints ต่างๆ) เช่น อีเมลและ SMS” Kurczyk กล่าว “หากลูกค้าซื้อประกันภัยการเดินทางแบบเที่ยวเดียว เราสามารถส่งอีเมลหลังการเดินทางเพื่อต้อนรับการกลับมาและเตือนลูกค้าถึงวิธีการส่งคำร้อง นอกจากนี้ เรายังสามารถโปรโมตผลิตภัณฑ์อื่นๆ และแอป MyAXA ซึ่งเป็นร้านค้าครบวงจรแบบบริการตนเองสำหรับลูกค้า”

ความพึงพอใจของลูกค้าต่อช่องทางดิจิตอลของ AXA Singapore นั้นสูงมากจนน่าประทับใจ ลูกค้าประมาณ 90% พอใจหรือพอใจมากหลังจากโต้ตอบกับผู้รับประกันภัยทางออนไลน์ ธุรกิจได้เริ่มรวบรวมความคิดเห็นมากขึ้นผ่านแบบสำรวจที่ส่งถึงลูกค้า หลังจากที่ Kurczyk เรียกว่า “moment of truth” ซึ่งรวมถึงช่วงเวลาที่ลูกค้าซื้อหรือต่ออายุกรมธรรม์เรียกร้องหรือติดต่อฝ่ายดูแลลูกค้าของ AXA ไม่ว่าพวกเขาจะใช้ช่องทางใดก็ตาม ทางทีมสามารถเห็นประสิทธิภาพการทำงานและระบุจุดที่ต้องปรับปรุง

สรุป

การใช้งาน Salesforce กับ AXA Singapore มีบทบาทสำคัญในเส้นทางการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล ทำให้บริษัทสามารถพัฒนาการมีส่วนร่วมของลูกค้าและมอบประสบการณ์ที่เป็นส่วนตัวที่ดียิ่งขึ้น การใช้แพลตฟอร์ม Salesforce ทำให้เกิดประโยชน์จนนำไปสู่ความสำเร็จของลูกค้า Salesforce ทำให้ AXA Singapore ได้รับมุมมองเดียวของลูกค้า ทำให้สามารถให้บริการแบบหลายช่องทางและระบบอัตโนมัติได้อย่างราบรื่น การนำ Marketing Cloud ไปใช้งานช่วยอำนวยความสะดวกในการส่งมอบเนื้อหาและข้อเสนอที่ปรับแต่งตามโปรไฟล์ลูกค้า ซึ่งนำไปสู่ความเกี่ยวข้องที่เพิ่มขึ้นและความพึงพอใจของลูกค้า นอกจากนี้ ความสามารถด้านการทำงานอัตโนมัติบน Salesforce ยังส่งผลให้เกิดประสิทธิภาพที่สำคัญและการดูแลลูกค้าที่รวดเร็วขึ้น โดยมีข้อผิดพลาดและเวลาตอบสนองลดลงสูงสุดถึง 50% แอกซ่าสิงคโปร์ยังได้ปรับปรุงเครือข่ายผู้จัดจำหน่ายผ่านการใช้ Experience Cloud เพื่อให้คู่ค้าและตัวแทนมีศูนย์กลางสำหรับการจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้าผู้จัดจำหน่ายไม่เพียงปรับปรุงประสิทธิภาพภายในเท่านั้นแต่ยังช่วยเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้าอีกด้วย การดำเนินงานเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ AXA Singapore ในการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องและการมุ่งเน้นที่การให้คุณค่าแก่ลูกค้าและคู่ค้า ด้วยการเชื่อมโยงเทคโนโลยีเข้ากับพันธกิจในการส่งเสริมให้ลูกค้ามีชีวิตที่ดีขึ้น

Get on the path to faster sales! 
Watch a guided tour or try free trial now!

มาร่วมทดลอง Salesforce CRM #1 กันเถอะ

ทดลองฟรี
Marketing automation
บทความ

Marketing Automation คืออะไรและมีประโยชน์อย่างไรต่อธุรกิจ (2023)

Marketing Automation หรือระบบอัตโนมัติทางการตลาด สามารถช่วยให้ธุรกิจประสบความสำเร็จได้จริง ในปัจจุบันมีบริษัทชั้นนำต่างๆทั่วโลกล้วนใช้ระบบ Automation กันทั้งหมดในการดำเนินงานไม่ว่าจะเป็นภายในหรือใช้ Automation เพื่อส่งข้อความหรือแจ้งเตือนหาลูกค้า

สำหรับผู้เริ่มต้น ระบบอัตโนมัติทางการตลาดช่วยเพิ่มการขาย 14.5% และลดค่าใช้จ่ายทางการตลาดโดยรวม 12.2% มากไปกว่านั้นตามรายงานของ Nucleus Research การเจาะลึกข้อมูลทำให้ได้ตัวเลขที่น่าสนใจยิ่งขึ้นสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก: การศึกษาโดย Annuitas Group เผยให้เห็นว่าบริษัทต่างๆ ที่ใช้ระบบอัตโนมัติทางการตลาดกับผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าจะมีโอกาสในการขายเพิ่มขึ้นถึง 451%

Marketing automation คืออะไร

Markting automation ก็คือระบบอัตโนมัติทางการตลาดเป็นเทคโนโลยีที่จัดการกระบวนการทางการตลาดและแคมเปญมัลติฟังก์ชั่นผ่านช่องทางต่างๆ โดยอัตโนมัติ

ด้วยระบบการตลาดอัตโนมัติธุรกิจสามารถกำหนดเป้าหมายลูกค้าด้วยข้อความอัตโนมัติ เช่น อีเมล เว็บ โซเชียล และSMS ข้อความจะถูกส่งโดยอัตโนมัติตามชุดคำสั่งที่เรียกว่าเวิร์กโฟลว์ เวิร์กโฟลว์อาจถูกกำหนดโดยเทมเพลตที่สร้างเองตั้งแต่เริ่มต้น หรือแก้ไขแคมเปญกลางเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น

ฝ่ายการตลาดและฝ่ายขายใช้ระบบอัตโนมัติทางการตลาดเพื่อทำให้แคมเปญการตลาดออนไลน์และการขายเป็นแบบอัตโนมัติเพื่อเพิ่มรายได้และเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุด เมื่อมีการใช้ระบบอัตโนมัติอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อจัดการกับงานที่ทำซ้ำๆ พนักงานจะมีเวลาไปในการจัดการกับปัญหาที่ยุ่งยากกว่าและลดข้อผิดพลาดของมนุษย์

ระบบอัตโนมัติทางการตลาดช่วยในการสร้างโอกาสในการขาย การตลาด และการให้คะแนน ตลอดจนการวัด ROI โดยรวมของแคมเปญ ผลของการประหยัดเวลาและต้นทุนของระบบอัตโนมัติเพิ่มขึ้นเมื่อองค์กรมีขนาดใหญ่ขึ้นและความซับซ้อนเพิ่มขึ้น ระบบการตลาดอัตโนมัติที่ดีจะต้องได้รับการออกแบบให้ปรับขนาดควบคู่ไปกับธุรกิจอีกด้วย

ตัวอย่างประโยชน์ของ Marketing automation

ตัวอย่างแรก

เนื้อหาส่วนบุคคลเป็นกุญแจสำคัญในการดูแลลีด จากข้อมูลการมีส่วนร่วมของบัญชี Marketing Cloud พบว่า 77% ของผู้ซื้อต้องการเนื้อหาที่ไม่ซ้ำใคร ซึ่งเครื่องมืออัตโนมัติทางการตลาดทำให้กระบวนการสร้างเนื้อหาที่ถูกต้องไปยังผู้ซื้อที่เหมาะสมในเวลาที่เหมาะสมง่ายขึ้น (Personalization) และยังสามารถรวบรวมข้อมูลจากเนื้อหาทั้งหมด เช่น อีเมลใดที่ลูกค้าเปิดและคลิก? โพสต์ใดที่ทำงานได้ดีบนช่องทางโซเชียลมีเดีย และแปลงเป็นการเข้าชมเว็บไซต์และการกระทำอื่นๆ ของผู้ใช้

ยกตัวอย่าง Dell ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ที่มีชื่อเสียง หลังจากสังเกตเห็นการเข้าชมจำนวนมากไปยังร้านค้าออนไลน์โดยไม่มียอดขายให้เห็น Dell ใช้ประโยชน์จากการวิเคราะห์พฤติกรรม การสร้างโฆษณาใหม่โดยอิงจากประวัติเว็บของลูกค้า ผลิตภัณฑ์ที่ดู และผลิตภัณฑ์ที่เหลืออยู่ในตะกร้าสินค้าบนเว็บส่งผลให้อัตราการคลิกผ่านเพิ่มขึ้น 70% และอัตรา Conversion สูงขึ้น 300%

ข้อมูลที่รวบรวมโดยระบบการตลาดอัตโนมัติยังมีประสิทธิภาพอย่างยิ่งสำหรับการคัดเลือกลีดด้านการตลาดก่อนที่จะส่งต่อไปยังฝ่ายขาย การให้คะแนนลีดเป็นวิธีที่ระบบอัตโนมัติที่ดีจะบันทึกและประมวลผลข้อมูลผู้เยี่ยมชมเพื่อกระตุ้นการกำหนดเส้นทางอัตโนมัติของลีดที่มีคุณสมบัติไปยังตัวแทนขายที่เหมาะสม

ตัวอย่างที่สอง

การสร้างมุมมองของลูกค้าแบบ 360 โดยใช้ Automation จับคู่กับระบบการจัดการลูกค้าสัมพันธ์ (CRM) การรวม CRM เข้ากับระบบอัตโนมัติทางการตลาดช่วยให้เจาะลึกพฤติกรรมของผู้ที่มีโอกาสเป็นลูกค้าโดยละเอียด เช่น หน้าเว็บที่ผู้มีโอกาสเป็นลูกค้ากำลังเยี่ยมชม ประเภทของเนื้อหาที่พวกเขาสนใจ และตำแหน่งที่พวกเขาอยู่ในวงจรการซื้อ (Cycle) เราก็ได้รับข้อมูลเชิงลึกในสิ่งที่ลีดสนใจ ซึ่งช่วยให้คุณปรับแต่งทุกอย่างได้เองตั้งแต่การตลาดเนื้อหาไปจนถึงการเสนอขายซึ่งนำเราไปสู่ส่วนสุดท้ายของการเดินทาง(Customer journey) ก็คือการที่ลูกค้าซื้อสินค้าจากเรานั่นเอง

สรุป

ระบบอัตโนมัติทางการตลาดให้ประโยชน์มากมายแก่ธุรกิจป็นเครื่องมือที่ดีอย่างยิ่งสำหรับความความสำเร็จ การใช้การตลาดแบบอัตโนมัติช่วยให้ธุรกิจต่างๆ สามารถสร้างลีดที่ดีขึ้นได้ เนื่องจากความสามารถในการทำให้กระบวนการทางการตลาดและการขายเป็นไปโดยอัตโนมัติ ทำให้ทีมสามารถมุ่งเน้นไปที่กลยุทธ์และการดูแลลีดที่มีแนวโน้มที่จะเป็นลูกค้า ความสามารถในการติดตามพฤติกรรมและความสนใจของลูกค้าผ่านระบบอัตโนมัติช่วยให้ธุรกิจมีความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับผู้มีโอกาสเป็นลูกค้า และช่วยให้สามารถสื่อสารและติดตามผลได้อย่างเป็นส่วนตัวการดูแลลูกค้าเป้าหมายจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจากระบบอัตโนมัติช่วยให้มั่นใจถึงการมีส่วนร่วมที่สอดคล้องกันและเนื้อหาที่ปรับให้เหมาะกับแต่ละบุคคลตลอดการเดินทางของผู้ซื้อระบบอัตโนมัติทางการตลาดยังช่วยอำนวยความสะดวกในการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลทำให้ธุรกิจสามารถตัดสินใจได้อย่างดียิ่งขึ้นจากข้อมูลเชิงลึกที่ครอบคลุมและเพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญการตลาด

Get on the path to faster sales! 
Watch a guided tour or try free trial now!

มาร่วมทดลอง Salesforce CRM #1 กันเถอะ

ทดลองฟรี
Customer 360
บทความ

อะไรคือ Customer 360

Customer 360 (หรือ Single Customer View) ก็คือมุมมอง 360 ของการเดินทางของลูกค้า (Customer Journey) แสดงให้เห็นภาพรวมของลูกค้าของคุณทั้งหมดตลอดเส้นทางต่างๆ ของลูกค้าทั้งการตลาด การขาย การดำเนินงาน และการบริการลูกค้าทีมที่ต้องติดต่อกับลูกค้าทั้งหมดจะได้รับการเข้าถึงข้อมูลลูกค้าที่สำคัญไม่ต้องเสียเวลาเพื่อค้นหาข้อมูลเหล่านั้น Customer 360 โดยปกติแล้วข้อมูลเหล่านี้จะถูกจัดเก็บและกระจัดกระจายไปทั่วองค์กรในทีมต่าง ๆ อย่างไม่เป็นระบบ แต่เมื่อเราสามารถรวมข้อมูลลูกค้าจากแหล่งที่ต่าง ๆ มาอัพเดทเป็นเวลาจริง และนี่ก็เป็นความหมายของ Customer 360 นั่นเอง คือการรวบรวมข้อมูลทั้งหมดของลูกค้าที่เข้ามาอยู่ในระบบ ซึ่งจะทำให้เราเข้าใจภาพความจริงของลูกค้าแต่ละคนได้อย่างชัดเจน

ข้อดีของ Customer 360

  • ช่วยสร้างแคมเปญด้านการขายและการตลาดมากขึ้น ประโยชน์หลักของมุมมองลูกค้าแบบ 360 คือความสามารถในการขยายทีมขายและทีมการตลาด ทีมเหล่านี้สามารถสร้างแคมเปญการขายและการตลาดเชิงรุกได้มากขึ้นโดยใช้ข้อมูลที่มีอยู่ ตัวอย่างเช่น หากผู้ค้าปลีกเห็นว่าลูกค้าซื้อรองเท้าผ้าใบและอุปกรณ์กีฬาบ่อยครั้ง ทีมขายและการตลาดสามารถสร้างแคมเปญการตลาดและโฆษณาที่กำหนดเป้าหมายตามความสนใจนี้ได้

 

  • เข้าใจลูกค้าและพฤติกรรมของพวกเขา ข้อดีอีกอย่างของการมองลูกค้าแบบ 360 องศาคือความสามารถในการเข้าใจลูกค้า รสนิยม และพฤติกรรมของพวกเขาได้ดียิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น ด้วยมุมมองโดยรวมของลูกค้า ผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพสามารถเข้าใจไม่เพียงแต่ประวัติทางการแพทย์แบบองค์รวมของผู้ป่วย แต่ยังรวมถึงพฤติกรรมและพฤติกรรมของพวกเขาด้วย ผู้ป่วยนัดตรวจประจำปีเป็นประจำหรือไม่? ประวัติทางการแพทย์ของผู้ป่วยเป็นอย่างไร และมาตรการป้องกันใด (หากมี) ผู้ให้บริการด้านสุขภาพสามารถทำได้

 

  • มอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่เป็นส่วนตัวมากขึ้น บางทีประโยชน์ที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งของมุมมองลูกค้าแบบ 360 องศาก็คือความสามารถในการมอบประสบการณ์การช็อปปิ้งที่เป็นส่วนตัวมากขึ้น ธุรกิจต่างๆ สามารถใช้ข้อมูลที่รวบรวมและประเมินค่าไม่ได้เพื่อมอบประสบการณ์ที่เป็นส่วนตัวมากขึ้นแก่ลูกค้าตลอดเส้นทางการช็อปปิ้งตลอดชีวิต ตัวอย่างเช่น หากธนาคารทราบว่าขณะนี้ลูกค้ามีผู้อยู่ในอุปการะรายใหม่ที่จะเข้าเรียนในวิทยาลัยในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ธนาคารสามารถส่งข้อเสนอบัญชีออมทรัพย์ส่วนบุคคลให้กับลูกค้าได้ และในทำนองเดียวกัน ธนาคารสามารถจัดเตรียมแผนการเกษียณอายุที่เป็นส่วนตัวมากขึ้นให้กับลูกค้าได้

ความท้าทายในการสร้างมุมมอง 360 องศาของลูกค้า

หนึ่งในความท้าทายหลักอยู่ที่การรวบรวมข้อมูลจากแหล่งที่แตกต่างกันการทำ Customer 360 ที่ยากและท้าทายที่สุดคือการรวบรวมข้อมูลลูกค้าทุกรายอย่างครบถ้วนและถูกต้องพร้อมกันในที่เก็บข้อมูลที่แตกต่างกัน ซึ่งอาจเจอความไม่สอดคล้องกันของระบบต่าง ๆ เนื่องจากไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ทำงานร่วมกันตั้งแต่แรกนอกจากนี้ยังมีคุณภาพของการเก็บข้อมูลในบางระบบที่อาจไม่เท่าเทียมกันเสมอ ตัวอย่างเช่น ข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าอาจถูกจัดเก็บไว้ใน CRM เช่น Salesforce ข้อมูลประวัติการสั่งซื้ออาจอยู่ในระบบดั้งเดิมที่กำหนดเองข้อมูลการซื้อของพวกเขาอาจอยู่ในระบบ POS เช่น Shopify และข้อมูลโซเชียลมีเดียของพวกเขาอาจอยู่บน Facebook อินสตาแกรม ทวิตเตอร์ และอื่นๆ

สรุป

Customer 360 คือการรวบรวมและรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับลูกค้าจากแหล่งต่าง ๆ เพื่อสร้างภาพรวมครบถ้วนเกี่ยวกับลูกค้าแต่ละรายในองค์กร การทำ Customer 360 ช่วยให้องค์กรสามารถทราบข้อมูลลูกค้าอย่างเต็มรูปแบบ รวมถึงประวัติการซื้อสินค้าหรือบริการ ประวัติการติดต่อ และข้อมูลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับลูกค้า การรวบรวมข้อมูลเหล่านี้เป็นระบบเรียลไทม์จะช่วยให้องค์กรมีมุมมองที่รวดเร็วและชัดเจนเกี่ยวกับลูกค้าแต่ละราย ซึ่งจะช่วยให้สามารถวิเคราะห์และตัดสินใจเกี่ยวกับลูกค้าได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริการลูกค้าและสร้างประสบการณ์ลูกค้าที่ดีขึ้นภายในองค์กร

Get on the path to faster sales! 
Watch a guided tour or try free trial now!

มาร่วมทดลอง Salesforce CRM #1 กันเถอะ

ทดลองฟรี
1 2 3 4 5 6 7

ร่วมทดลอง CRM #1 ของโลกฟรี 30 วัน

Get a Quote

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรังปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ

Save